พังงา

พังงา

เกาะคอเขา … เปิดมุมมองใหม่ทะเลพังงา

เกาะคอเขา เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่ง บริเวณชุมชนบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า บนเกาะมีสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบ มีความเงียบสงบและยังคงความเป็นธรรมชาติ ทางทิศเหนือของเกาะ มีท่าเรือที่สามารถข้ามไปเกาะพระทอง ทางทิศตะวันออกของเกาะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนยางพาราและสวนปาล์มของชาวบ้าน ปลายแหลมทางทิศใต้คือท่าเรือหลักของเกาะ ที่ใช้ข้ามไปมาระหว่างเกาะคอเขา-บ้านน้ำเค็ม ทางทิศตะวันตกของเกาะเป็นแนวชายหาด เป็นที่ตั้งของที่พักและร้านอาหารให้บริการนักท่องเที่ยว ร่มรื่นด้วยแนวต้นสนทะเลและต้นมะพร้าว หาดทรายยาวขาวสะอาด สามารถเล่นน้ำได้ และยังสามารถมองเห็น “เกาะผ้า” ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลและไม่ไกลจากเกาะคอเขามากนัก การคมนาคมบนเกาะสำหรับนักท่องเที่ยว แนะนำให้นำรถยนต์ส่วนตัวหรือเช่ารถยนต์หรือจักรยานยนต์จากบนฝั่งลงแพขนานยนต์เพื่อขับเที่ยวเองบนเกาะ หรือประสานที่พักที่จองไว้บนเกาะให้ช่วยจัดหารถรับส่งพาเที่ยวบนเกาะ การเดินทาง : ลงเรือข้ามไปเกาะคอเขาได้ที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 12 กิโลเมตร มีเรือยนต์รับจ้างและแพขนานยนต์ให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.30-17.30 น. ค่าบริการนำรถยนต์ลงแพขนานยนต์ คันละ 200 บาท จักรยานยนต์ คันละ 50 บาท ผู้โดยสารคนละ 20 บาท ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที พิกัด (ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม) https://maps.app.goo.gl/Mrf784nEcx7e8d2K8พิกัด (ท่าเรือเกาะคอเขา) https://maps.app.goo.gl/LfRhc1znNs7LutB6A สอบถามรอบแพขนานยนต์ข้ามฟากและเรือข้ามฟากได้ที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม โทร. 08 4841 2367

เกาะคอเขา … เปิดมุมมองใหม่ทะเลพังงา อ่านเพิ่มเติม

หมู่เกาะสุรินทร์ ฉบับ Backpacker

จุดหมายปลายทางหลักในการท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงฤดูร้อนคงหนีไม่พ้น “ทะเล” เชื่อได้ว่าหนึ่งในทะเลที่สวยอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยและเป็น Dream Destination ของใครหลายคน คือ หมู่เกาะสุรินทร์ (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์)  ตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน (เหนือ) ห่างจากท่าเรือคุระบุรี จังหวัดพังงา ประมาณ 70 กิโลเมตร ในทุก ๆ ปี อุทยานฯ จะประกาศเปิดเกาะระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม – 15 พฤษภาคม เท่านั้น อัตราค่าบริการเข้าอุทยานฯชาวไทย : ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาทชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 250 บาท สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งแบบค้างคืนบนเกาะสุรินทร์เหนือและแบบเช้าไปเย็นกลับ ในกรณีค้างคืนบนเกาะ ต้องจองที่พัก (บ้านพัก/เต็นท์) ล่วงหน้า และจองเรือสปีดโบ๊ตไปเกาะล่วงหน้ากับบริษัทนำเที่ยวเอกชน โดยสามารถจองเฉพาะเรือไปกลับ หรือซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวแบบรวมเรือและที่พักบนเกาะไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจดำน้ำแบบ One Day Trip ให้บริการอีกด้วย สอบถามข้อมูล อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โทร. 0 7647 2145, 0 7647 2146 ใครอยากไปเที่ยว ‘หมู่เกาะสุรินทร์’ แบบฉบับ Backpacker ตามมาดูกันเลย การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปหมู่เกาะสุรินทร์ กรณี Backpack ไปเอง ไม่ได้ซื้อแพ็กเกจทัวร์– จองที่พักของอุทยานฯ บนเกาะ (บ้านพัก/เต็นท์) >> https://nps.dnp.go.th/reservation.php?option=home– จองเรือไปกลับ– จองเครื่องบิน/รถโดยสารประจำทาง/รถเช่า– จัดเตรียมอุปกรณ์จำเป็นในการเดินทาง อันดับแรกขอเริ่มต้นกันที่ ‘ท่าเรือคุระบุรี’ กันก่อนเลย เรือโดยสาร ปัจจุบันให้บริการโดยบริษัทนำเที่ยวเอกชน (ไม่มีบริการเรือของอุทยานฯ แล้ว) เปิดให้บริการทุกวันในช่วงเปิดเกาะ ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม-15 พฤษภาคม ของทุกปี เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุมจึงจะปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว มีรอบเวลาเดินเรือ ดังนี้ จากท่าเรือคุระบุรี เวลา 09.00 น. ถึงที่ทำการอุทยานฯ บนเกาะสุรินทร์เหนือ เวลา 11.30 น.จากที่ทำการอุทยานฯ บนเกาะสุรินทร์เหนือ เวลา 13.00 น. ถึงท่าเรือคุระบุรี เวลา 15.30 น. อัตราค่าโดยสารเรือสปีดโบ๊ตไป-กลับ คนละ 1,500-1,700 บาท แนะนำให้จองที่นั่งบนเรือล่วงหน้าก่อนเดินทางจากบริษัทนำเที่ยวเอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือคุระบุรี หรือในพื้นที่จังหวัดพังงา ภูเก็ต และระนอง ‘อ่าวช่องขาด’ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานฯ บนเกาะสุรินทร์เหนือ มีบ้านพัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟให้บริการ อ่าวช่องขาดนี้จะเป็นจุดแรกสำหรับจอดเรือเพื่อส่งนักท่องเที่ยว น้ำทะเลและหาดทรายที่อ่าวช่องขาด มีความสวยงามไม่แพ้หาดอื่น ๆ บนเกาะ หนึ่งในจุดแลนด์มาร์กของอ่าวช่องขาด คือ หินแม่ไก่ ซึ่งเป็นโขดหินริมหาดที่มีรูปร่างคล้ายไก่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จองเต็นท์ค้างแรมบนเกาะสุรินทร์เหนือ จะต้องต่อเรือหัวโทงตามรูปเพื่อไปยัง “อ่าวไม้งาม” ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะ และเป็นจุดกางเต็นท์หลักของอุทยานฯ โดยระยะทางระหว่าง อ่าวช่องขาด-อ่าวไม้งาม ใช้เวลานั่งเรือหัวโทง ประมาณ 10 นาที เท่านั้น ‘อ่าวไม้งาม’ เป็นอ่าวที่มีน้ำทะเลสวยใส มีชายหาด 2 แห่ง คือ บริเวณท่าเรือ และอีกด้านของเกาะ ซึ่งเป็นพื้นที่กางเต็นท์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยตรงท่าเรืออ่าวไม้งาม จะพบป้ายบอกทางให้เดินไปอีก 200 เมตร ถึงชายหาดอ่าวไม้งามอีกฝั่ง อ่าวไม้งาม มีโค้งอ่าวยาวประมาณ 800 เมตร มีหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลสวยใสมาก ตามแนวชายหาดของอ่าวไม้งามยังคงความเป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ขึ้นขนานไปกับแนวหาดดูร่มรื่น มีไม้โกงกางลำต้นสวยแปลกตาตั้งอยู่ริมหาด ถือเป็นแลนด์มาร์กของอ่าวไม้งาม ที่อ่าวไม้งามมีจุดกางเต็นท์ของอุทยานฯ ให้บริการ โดยต้องจองในเว็บไซต์ของกรมอุทยานฯ ล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง ส่วนใครที่เตรียมเต็นท์มาเอง ที่บริเวณอ่าวไม้งามยังมีโซนพื้นที่สำหรับให้กางเต็นท์ที่นักท่องเที่ยวเตรียมมาเองด้วยเหมือนกัน นอกจากอ่าวช่องขาดและอ่าวไม้งามบนเกาะสุรินทร์เหนือ ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอบหมู่เกาะสุรินทร์อีกหลายแห่ง สามารถเช่าเหมาเรือหัวโทงจากทั้งอ่าวช่องขาดและอ่าวไม้งามไปเที่ยวระหว่างวันได้ หนึ่งในกิจกรรมที่ต้องห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์ คือ การดำน้ำ เพราะหมู่เกาะสุรินทร์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำชมปะการังที่สวยอันดับต้น ๆ ของไทย จุดดำน้ำรอบหมู่เกาะสุรินทร์ มีทั้งแบบจุดดำน้ำตื้นและจุดดำน้ำลึก จุดดำน้ำตื้นชมปะการังที่มีชื่อเสียง เช่น อ่าวบอน อ่าวสุเทพ อ่าวแม่ยาย อ่าวจาก เป็นต้นจุดดำน้ำลึกที่มีชื่อเสียงของหมู่เกาะสุรินทร์ เช่น กองหินริเชลิว เกาะตอริลลา เกาะสตอร์ค เป็นต้น จุดเช็กอินน่าสนใจอีกแห่งของหมู่เกาะสุรินทร์ คือ หมู่บ้านชาวมอแกน ซึ่งตั้งอยู่อ่าวบอนใหญ่ เกาะสุรินทร์ใต้ โดยสามารถนั่งเรือหัวโทงจากเกาะสุรินทร์เหนือมาที่นี่ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที  สามารถซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์ทั้งแบบค้างคืน/แบบ One Day Tour/แบบ Half Day Tour เพื่อมาเที่ยวที่หมู่บ้านชาวมอแกนได้ เพราะในแพ็กเก็จทัวร์จะพาไปเที่ยวชายหาดบนเกาะสุรินทร์เหนือ จุดดำน้ำต่าง ๆ และเที่ยวหมู่บ้านมอแกนบนเกาะสุรินทร์ใต้ “ชาวมอแกน” หรือ “ยิปซีแห่งท้องทะเล” บนเกาะสุรินทร์ใต้ มีประมาณ 200 คน ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม สร้างกระท่อมยกเสาสูงเป็นที่อยู่อาศัยบริเวณชายหาด ชาวมอแกนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านเป็นหลัก และทำของที่ระลึกขายให้นักท่องเที่ยว บางส่วนเป็นลูกจ้างช่วยงานภายในอุทยานฯ ของที่ระลึกที่ชาวมอแกนทำขายนักท่องเที่ยวบนเกาะ เช่น ผ้าบาติก/เครื่องประดับที่ทำจากหิน ลูกปัด และเชือกถัก/กระเป๋าสานจากเชือกอวนทะเล เป็นต้น ใครมีโอกาสไปเที่ยวหมู่บ้านมอแกน อย่าลืมช่วยกันอุดหนุนของที่ระลึกซึ่งเป็นงานฝีมือน่ารัก ๆ ของชาวมอแกนกันด้วยนะ ท้ายสุด…อย่าลืมช่วยกันรักษาธรรมชาติของท้องทะเลหมู่เกาะสุรินทร์ เช่น ไม่ทิ้งขยะตามแหล่งท่องเที่ยวและพยายามสร้างขยะให้น้อยที่สุด ไม่สัมผัสหรือทำลายปะการังใต้น้ำ เป็นต้น เพื่อที่พวกเราจะมีทะเลที่สวยงามให้ได้เที่ยวกันไปอีกนานแสนนาน

หมู่เกาะสุรินทร์ ฉบับ Backpacker อ่านเพิ่มเติม

เกาะผ้า พังงา

เราเดินทางมาที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มุ่งหน้ามาที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม เพื่อล่องเรือไปชมความงดงามของ “เกาะผ้า” เกาะไซซ์มินิมอลในทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะคอเขา ความมหัศจรรย์ของเกาะผ้าอันเป็นที่มาของชื่อนั้น เพราะว่าเกาะจะเปลี่ยนรูปร่างราวกับผืนผ้าที่พริ้วไหวไปมาตามระดับน้ำทะเล เดิมทีเกาะแห่งนี้เคยมีพื้นที่ราว ๆ 5 ไร่ มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งต้นไม้ใหญ่ ต้นมะพร้าวมากมาย เมื่อเกิดสึนามิในปี พ.ศ. 2547 ทำให้เกาะแห่งนี้ถูกซัดหายไป ปัจจุบันจะมองเห็นเพียงเนินสันทรายสีขาว ในช่วงที่น้ำทะเลลดลง สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือมาถึงเกาะผ้าประมาณ 40 นาที สัมผัสแรกด้วยตา มองเห็นทรายขาวละเอียดกลางทะเล เดินลงจากเรือมาสัมผัสทรายนุ่ม ๆ นั่งเล่น รับลม เพลิดเพลินกับบรรยากาศโดยรอบ บางทีก็มีฝูงนกบินผ่านมา ช่วยแต่งเติมสีสันของการมาเที่ยวเกาะผ้าได้ดีเชียวล่ะ ใครปักหมุดจะมาที่นี่ มาเที่ยวได้เรื่อย ๆ จนถึงเดือนเมษายนก่อนเข้าหน้ามรสุมเลยนะ ส่วนใครที่พกอุปกรณ์มาด้วย อย่าลืมเก็บกลับกันให้หมด เพื่อช่วยรักษาความสะอาดของแหล่งท่องเที่ยวกันด้วย ช่วงเวลาท่องเที่ยวของแต่ละวันจะไม่ตรงกัน ขึ้นอยู่กับเวลาน้ำขึ้น-น้ำลง เพื่อน ๆ สามารถสอบถามเรือจ้างล่วงหน้าได้ว่าวันที่เราจะเดินทางไปเที่ยวนั้นเหมาะช่วงเวลาไหน เพื่อที่จะสามารถวางแผนเดินทางล่วงหน้าได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมเรือจ้างเกาะคอเขา โทร. 08 4841 2367 ราคาเริ่มต้น 2,500 บาท พิกัดท่าเรือบ้านน้ำเค็ม https://maps.app.goo.gl/4UJQ4cLoUMVwkLC28

เกาะผ้า พังงา อ่านเพิ่มเติม

สิมิลัน สวรรค์แดนใต้

สิมิลัน เปิดแล้วจ้า…หนีกรุงฯ ไปทะเลน้ำใส ๆ เดินเล่นบนหาดทรายขาว ๆ ดำน้ำดูปะการังกันที่ “สิมิลัน” จุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่รักทะเลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ตอนนี้ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมูเกาะสิมิลัน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา บรรยากาศของท้องทะเลฝั่งอันดามันในช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ทะเลสวยสุด ๆ ในรอบปี แบบนี้ห้ามพลาดกันแล้วนะ มารู้จักสิมิลันให้มากขึ้นกันก่อน คำว่า สิมิลัน เป็นภาษายาวี มีความหมายว่า “เก้า” ซึ่งหมายถึงหมู่เกาะย่อย ๆ ทั้งเก้าเกาะ แต่เดิมที่เริ่มจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันนั้นมีแค่ 9 เกาะ ภายหลังก็ได้มีการรวมเกาะบอนและเกาะตาชัย ที่อยู่ขึ้นไปทางทิศเหนือเข้าไปอยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันด้วยเช่นกัน สถานที่ท่องเที่ยวบนอุทยานฯ ก็มีไฮไลต์หลายแหล่ง แถมยังมีกิจกรรมให้ทำอีกเพียบ ไม่ได้มีแค่หาดสวยอย่างเดียวนะ จุดชมวิวแต่ละเกาะก็มีดีไม่แพ้กัน  เริ่มเลยที่ “เกาะแปด” เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จุดเช็กอินแรกที่ห้ามพลาดเลยคือ “หินเรือใบ” จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นชายหาดสวย ๆ ของเกาะสิมิลันได้จากมุมสูง เดินตามเส้นทางขึ้นไปประมาณ 150 เมตร ก็จะได้เห็นทิวทัศน์สวยงามเกินบรรยาย  ดำน้ำชมปะการังอันสวยงามที่ “เกาะบางู” จุดดำน้ำที่มีทั้งพันธุ์ปลาหายากและฝูงปลาขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นจุดชมปะการังยอดฮิตของสายดำน้ำด้วย หากใครที่ชอบดำน้ำตื้น ที่นี่เหมาะมาก ๆ ค่ะ แต่บัดดี้ขอฝากเพื่อน ๆ ช่วยกันระมัดระวังและรักษาสิ่งแวดล้อมกันด้วยนะคะ  “เกาะบายู” หรือ เกาะเจ็ด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเต่าทะเล หากโชคดีได้มีโอกาสเจอน้องแวะมาทักทายด้วยนะคะ  “เกาะเมียง” ที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ว่ากันว่าเป็นเกาะที่มีชายหาดอันงดงามถึงสองชายหาดซึ่งสามารถเดินทะลุถึงกันได้ เดินถ่ายรูปกันได้แบบชิล ๆ ค่ะ สำหรับใครที่วางแผนไปเที่ยวสิมิลัน บัดดี้แนะนำให้ติดต่อกับบริษัททัวร์กันได้เลย และที่อุทยานฯ มีที่พักทั้งในส่วนของบ้านพักและจุดกางเต็นท์คอยให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยนะ ใครที่ไม่อยากเหนื่อยเกินไปบัดดี้แนะนำว่ามาเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน จะได้มีเวลานอนพักผ่อน ดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างเต็มที่  การเดินทาง ไปยังหมู่เกาะสิมิลัน เพื่อน ๆ สามารถติดต่อกับทางบริษัทเอกชนได้หลายเจ้า โดยขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา และจากท่าเรือจะมีแค่ Speed Boat ของเอกชนเท่านั้นที่ให้บริการนักท่องเที่ยว โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ

สิมิลัน สวรรค์แดนใต้ อ่านเพิ่มเติม

🏔🌌ภูตาจอ … หลังคาพังงา🌌🏔

ว่ากันว่าผืนป่าทางภาคใต้ของไทยเป็นป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ จะดีสักเพียงใดถ้าครั้งหนึ่งในชีวิต ได้พาตัวเองไปสัมผัสธรรมชาติป่าเขาอย่างใกล้ชิด ได้นอนดูดาว ได้ชมทะเลหมอก และอาบสายลมเย็น “ภูตาจอ” ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต ซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับป่าเขาสก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดพังงา ที่ระดับความสูง 1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเล บริเวณนี้แต่เดิมเคยเป็นเหมืองแร่ดีบุกเก่าแก่มีชื่อว่า “เหมืองตาจอ” คนท้องถิ่นจึงเรียกยอดภูแห่งนี้ว่า “ภูตาจอ” ที่ตั้ง : ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงาพิกัดภูตาจอ : https://maps.app.goo.gl/rCMf762e1aQw7PMP9 การเดินทาง : เนื่องจากเส้นทางสู่ยอดภูตาจอเป็นทางวิบาก ต้องอาศัยความชำนาญในเส้นทางและระมัดระวังในการขับรถ แนะนำให้ใช้บริการรถขับเคลื่อนสี่ล้อนำเที่ยวของชาวบ้านในพื้นที่ มีจุดให้บริการอยู่ที่บ้านช้างเชื่อ ตำบลเหล อำเภอกะปง อยู่ห่างจากยอดภูตาจอ 14 กิโลเมตร พิกัดจุดให้บริการรถขับเคลื่อนสี่ล้อ : https://maps.app.goo.gl/MiHdaSzs44TcHo958 เส้นทางในช่วงแรกจากบ้านช้างเชื่อ ผ่านสวนยางและสวนปาล์มของชาวบ้าน จนถึงบ้านนกฮูก จากนั้นเข้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต เมื่อเริ่มเข้าสู่แนวป่าเส้นทางจะวิบากมากขึ้น บางช่วงรถต้องลุยข้ามธารน้ำ บางช่วงเป็นทางขึ้นลงเขาสูงชัน นักท่องเที่ยวต้องชำระค่าธรรมเนียมขึ้นลงภูตาจอ คนละ 30 บาท เมื่อถึงภูตาจอจะเห็นว่าพื้นดินบริเวณนั้นเป็นดินปนทรายสีขาว มีร่องรอยการปรับพื้นที่เพื่อทำเหมืองเมื่อครั้งอดีตหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวภูตาจอได้ทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับและแบบค้างคืน สามารถนำเต็นท์และอุปกรณ์มาประกอบอาหารมาพักค้างแรมได้บริเวณพื้นราบก่อนถึงยอดภู ตรงจุดนั้นมีห้องน้ำให้บริการ แต่ต้องใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะน้ำที่ใช้ต่อท่อมาจากการถังเก็บน้ำฝนขนาดใหญ่ที่ทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ สำรองไว้ จากลานกางเต็นท์ต้องเดินเท้าขึ้นเขาระยะทางประมาณ 200 เมตร ถึงยอดภูตาจอ ซึ่งมีลักษณะเป็นลานหินโล่ง ต้นไม้ที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก เช่น เฟิร์น บนยอดภูตาจอสามารถชมทัศนียภาพได้รอบทิศ 360 องศา ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ทะเลหมอกยามเช้าหรือหลังฝนตก ทะเลดาวและทางช้างเผือกยามค่ำคืน ทางทิศตะวันตกของยอดภูตาจอในวันที่ทัศนวิสัยเปิดโล่ง สามารถมองเห็นได้ไกลถึงทะเลอันดามัน และด้วยความที่ภูตาจอมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20 องศาเซลเซียส อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันอย่างต่อเนื่อง สอบถามข้อมูลการเดินทางและนัดหมายจองรถขับเคลื่อนสี่ล้อล่วงหน้าโทร. 08 1084 8843 (โกอุ่น บ้านช้างเชื่อ)โทร. 09 1321 6126 (คุณกิตติพงศ์ บ้านช้างเชื่อ)โทร. 0 7641 3400-2 (ททท. สำนักงานพังงา)

🏔🌌ภูตาจอ … หลังคาพังงา🌌🏔 อ่านเพิ่มเติม

พลับพลึงธาร…ราชินีแห่งสายน้ำ ✨

พันธุ์ไม้เฉพาะถิ่นของโลกพบได้ที่ระนองและพังงาเท่านั้น “พลับพลึงธาร” เป็นพืชน้ำอยู่ในวงศ์พลับพลึง Amaryllidaceae ชื่อสามัญคือ Water Onion, Water lily, Thai Water Onion, Onion Plant, Yellowish leaves lily. และมีชื่อที่เรียกในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน เช่น ช้องนางคลี่ หอมน้ำ เป็นต้น เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic species) ที่พบได้ในจังหวัดระนองและจังหวัดพังงาของประเทศไทยเท่านั้น โดยที่จังหวัดระนองพบมีการกระจายพันธุ์อยู่ในพื้นที่อำเภอกระบุรี อำเภอกะเปอร์ และอำเภอสุขสำราญ ส่วนจังหวัดพังงาพบที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า และอำเภอท้ายเหมือง ฤดูกาลออกดอกของพลับพลึงธาร ตั้งแต่เดือนกันยายน – เดือนธันวาคม ของทุกปี ตามมาทำความรู้จักและชมความสวยงามของพลับพลึงธาร … ราชินีแห่งสายน้ำ ด้วยกันในรีวิวค่ะ พลับพลึงธารได้รับฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งสายน้ำ” เนื่องจากเป็นไม้น้ำที่มีดอกชูช่อสวยงาม มีสีขาวเนียนคล้ายดอกพลับพลึง แต่อยู่ในน้ำเป็นพันธุ์ไม้เฉพาะถิ่นของโลกพบได้ที่ระนองและพังงาเท่านั้น ได้ขึ้นเป็นบัญชีพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก (IUCN Redlist) เมื่อปี พ.ศ. 2554 พลึบพลึงธารพบมีการขึ้นกระจายพันธุ์อยู่ในระบบนิเวศเฉพาะ คือ บริเวณลำธารที่มีน้ำสะอาดไหลตลอดเวลา มีพื้นท้องน้ำที่ไม่ลาดชันมาก และพบว่าไม่มีการกระจายพันธุ์บริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึง ลักษณะลำต้นเป็นลำต้นใต้ดิน ความสูงเตี้ยของลำต้นขึ้นอยู่กับความตื้นลึกของน้ำ ใบมีสีเขียวอ่อน มีลักษณะแถบยาวปลายใบเรียวแหลมลอยพริ้วตามสายน้ำ ดอกเป็นประเภทดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน ช่อดอกประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 7-9 ดอก กลีบดอกมีสีขาวลักษณะรูปหอก มีเกสรสีแดง อับเรณูสีเหลืองอ่อน ตามวัฏจักรของพลับพลึงธาร หลังจากงอกเป็นลำต้น จะใช้ระยะเวลาเติบโตราว 3 ปี จึงเริ่มออกดอก เมื่อดอกบานจะส่งกลิ่นหอมเย็นอบอวล การขยายพันธุ์ของพลับพลึงธาร ตามธรรมชาติพลับพลึงธารจะขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ดสีเขียวอ่อนที่อยู่ในผลซึ่งมีลักษณะคล้ายหัวหอมแดง (ตามภาพ) เมื่อผลแก่จะแตกออกมาเองและเมล็ดสีเขียวอ่อนภายในผลจะไหลไปตามลำคลอง ยึดเกาะตามพื้นดินใต้น้ำหรือกองหินใต้น้ำ จากนั้นงอกเป็นต้นพลับพลึงธารต่อไป พลับพลึงธารจะออกดอกทุกปี คือระหว่างเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม ช่วงเวลาที่พบว่าดอกพลับพลึงธารบานพร้อมกันเต็มที่ คือ ราวต้นเดือนพฤศจิกายน จุดชมพลับพลึงธารจุดแรกที่จะพาไปชม คือ บ้านไร่ใน ตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง พิกัด : https://maps.app.goo.gl/J66S3ntAbegH9R9e9  การเดินทาง : จากตัวเมืองระนอง ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง-พังงา) จนถึงสามแยกตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ (กิโลเมตรที่ 677 ของถนนเพชรเกษม) ให้เลี้ยวซ้ายและตรงไป 8 กิโลเมตร ถึงศูนย์อนุรักษ์พลับพลึงธาร บ้านไร่ใน แนะนำให้โทรไปสอบถามช่วงเวลาการบานของพลับพลึงธารและการเดินทางไปชม ได้ที่  โทร. 08 2808 7548 (คุณอัมรินทร์ ผู้ประสานงานศูนย์อนุรักษ์และเรียนรู้พลับพลึงธารบ้านไร่ใน) หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานชุมพร (ดูแลพื้นที่จังหวัดชุมพรและระนอง) โทร. 0 7750 2775-6, 0 7750 1831 โดยที่ศูนย์อนุรักษ์พลับพลึงธาร บ้านไร่ใน จะมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในชุมชนพาเที่ยวชมพลับพลึงธารที่ขึ้นกระจายอยู่ตามลำธารในหมู่บ้าน ที่บ้านไร่ในมีการเตรียมกิจกรรม “จิบกาแฟ แลพลับพลึงธาร” ไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมพลับพลึงธารในหมู่บ้าน เนื่องจากบ้านไร่ในมีการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าท้องถิ่นของหมู่บ้าน จึงมีการต่อยอดโดยการเปิดเป็นร้านกาแฟวิสาหกิจชุมชนบ้านไร่ใน ให้นักท่องเที่ยวได้มาจิบกาแฟคั่วหอมอร่อยท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น และจากนั้นจะพาไปชมพลับพลึงธารตามจุดต่าง ๆ นอกจากนี้ที่บ้านไร่ใน ยังมีกิจกรรม “พายคายัก คลองนาคา” รองรับนักท่องเที่ยว เป็นการพายคายักระยะ 2 – 4 กิโลเมตร ภายในคลองนาคา ซึ่งเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านในหมู่บ้าน บรรยากาศสองฝั่งของลำคลองแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ เป็นพื้นที่ป่าชุมชนสลับกับสวนปาล์มของชาวบ้าน สอบถามข้อมูลกิจกรรม “จิบกาแฟ แลพลับพลึงธาร” และกิจกรรม “พายคายัก คลองนาคา” ได้ที่  โทร. 08 2808 7548 (คุณอัมรินทร์ ผู้ประสานงานศูนย์อนุรักษ์และเรียนรู้พลับพลึงธารบ้านไร่ใน) จุดที่สองในการแนะนำ คือ คลองตาเลื่อน เลขที่ 117 หมู่ที่ 1 บ้านบางซอย ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QpiocV6ckxVNL2vp7  การเดินทาง : จากตัวเมืองพังงา ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม (พังงา-ระนอง) จนถึงสามแยกอำเภอคุระบุรี ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนสายรองข้างโรงเรียนคุระบุรี ตรงเข้าไปประมาณ 5.5 กิโลเมตร ถึงจุดชมพลับพลึงธารคลองตาเลื่อน คุณตาเลื่อน มีแสง อายุ 87 ปี (เมื่อปี พ.ศ. 2566) ได้รับฉายาว่าเป็น “องครักษ์ผู้พิทักษ์พลับพลึงธาร” สืบเนื่องจากในลำคลองเล็ก ๆ ช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่บ้านและสวนของคุณตาเลื่อน มีต้นพลับพลึงธารขึ้นกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก จากคำบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจของคุณตาเลื่อน ทำให้ทราบว่าพลับพลึงธารที่ขึ้นอยู่ในลำคลองข้างบ้านมีให้เห็นมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ของคุณตาแล้ว และคุณตาได้ดูแลอนุรักษ์พลับพลึงธารเหล่านี้ด้วยความรักและผูกพันเสมอมา เมื่อเดินทางไปถึงบ้านคุณตาเลื่อน จะพบคุณตานั่งรอคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณหน้าบ้านเป็นประจำ คุณตาจะพาเดินชมพลับพลึงธารในลำคลองเล็ก ๆ ข้างบ้าน พร้อมบอกเล่าความเป็นมาของพลับพลึงธารที่ตนดูแลด้วยสีหน้าที่มีความสุข การมาเที่ยวชมพลับพลึงธารคลองตาเลื่อน ไม่เสียค่าเข้าชม แต่จะมีกล่องรับบริจาคเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์พลับพลึงธารตั้งอยู่บริเวณส่วนรับแขกหน้าบ้าน ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้แทนค่าเข้าชม แนะนำให้โทรไปสอบถามช่วงเวลาการบานของพลับพลึงธารและการเดินทางไปชมได้ที่ บ้านคุณตาเลื่อน  โทร. 06 1180 8438 หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพังงา โทร. 0 7641 3400-2 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันอนุรักษ์พลับพลึงธาร” ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมขึ้น ณ คลองตาเลื่อน โดยกิจกรรมในงานประกอบด้วย การเปิดให้ชมดอกพลับพลึงธารที่กำลังชูช่อดอกบานสะพรั่งในลำคลอง ร่วมเรียนรู้การเพาะปลูกพลับพลึงธาร การหว่านเมล็ดปลูกพลับพลึงธาร การเสวนาเรื่องการร่วมอนุรักษ์พลับพลึงธาร ชมนิทรรศการจากองค์กรภาคีเครือข่าย การมอบรางวัลการประกวดวาดภาพดอกพลับพลึงธาร การวาดภาพระบายสีบนกระเป๋าผ้า ร่วมชิมอาหารพื้นเมือง สินค้าโอทอป และดนตรีโฟล์คซอง  ข้อแนะนำที่ควรให้ความสำคัญในการเที่ยวชมดอกพลับพลึงธาร ได้แก่– ไม่ควรเดินเหยียบย่ำทุกส่วนของต้นพลับพลึงธาร– ไม่ควรเด็ดหรือสัมผัสดอกพลับพลึงธารแรง ๆ– ไม่ควรทิ้งขยะหรือทำความสกปรกให้กับลำคลองที่มีต้นพลับพลึงธารขึ้นอยู่– ควรเคารพกฎ กติกาที่ชาวบ้านในพื้นที่ได้กำหนดไว้ ในการท่องเที่ยวและชมพลับพลึงธาร

พลับพลึงธาร…ราชินีแห่งสายน้ำ ✨ อ่านเพิ่มเติม

มัดรวมฟาร์มสเตย์ 🐓ท่องเที่ยวแนวใหม่ใกล้ชิดธรรมชาติ 🏨

หากใครกำลังเล็งหาสถานที่ท่องเที่ยวแนวรักษ์โลก บัดดี้อยากให้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ เที่ยว ฟาร์มสเตย์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกิจกรรมที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด 🍃 บัดดี้ขอชี้พิกัด 6 ฟาร์มสเตย์ น่าเที่ยวทั่วไทย หัวใจสีเขียว📌 บ้านเกอลิโกล จ.เชียงใหม่📌 บ้านโคกไคร จ.พังงา📌บ้านสวนเส จ.ชัยภูมิ📌 ไออุ่นขุนเขา จ.ราชบุรี📌 Bamboo Pink House บ้านผาหมอน จ.เชียงใหม่📌 MEKIN FARM จ.ขอนแก่น การไปเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ นอนโฮมสเตย์ ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะมีกิจกรรมดี ๆ น่าทำแตกต่างกันไปในแต่ละที่ รวมถึงมีข้อดี ที่ดีต่อใจมาก ๆ อีกด้วย เช่น 📌 บ้านเกอลิโกล จ.เชียงใหม่ – ชวนสัมผัสอากาศหนาวกับบ้านไม้ไผ่กลางหุบเขา โอบล้อมไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ทานอาหารพื้นบ้านแสนอร่อย พอตกเย็นอากาศหนาวหมอกลง ชวนนั่งปิกนิกข้างกองไฟ ในยามเช้านั่งชมบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ ที่หน้าระเบียงบ้าน 📌 บ้านโคกไคร จ.พังงา – หมู่บ้านริมทะเลที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ชิมอาหารทะเลที่ชาวประมงหามาเอง เช่น ปลาตัวใหญ่ ๆ นำมาปรุงอาหารอร่อย ๆ ให้เราได้ชิม มีกิจกรรมสปาโคลนแสนผ่อนคลายกับน้ำทะเลอุ่น ทรายร้อน บรรยากาศเงียบสงบ มองออกไปไกล ๆ ขอบทะเลมีภูเขาลูกเล็ก ๆ มากมายเรียงรายสลับกันอยู่ 📌บ้านสวนเส จ.ชัยภูมิ – ฟาร์มสเตย์สวนผักแบบผสมผสาน สนุกกับกิจกรรมปั่นจักรยานชมสวน เก็บไข่ในเล้ามาทำอาหาร ลงนาปลูกข้าว ใช้ชีวิตแบบพอเพียง 📌 ไออุ่นขุนเขา จ.ราชบุรี – มาสร้างสุขภาพดีที่ฟาร์มออร์แกนิก มีผักแทบทุกชนิดไม่ต้องซื้อ สามารถเก็บในสวนมาทำกินได้เลย บรรยากาศเงียบสงบ จำลองการเป็นชาวสวนย่อม ๆ ปลูกผัก เก็บไข่ และได้รับออกซิเจนจากภูเขารอบข้าง 📌 Bamboo Pink House บ้านผาหมอน จ.เชียงใหม่ – ขึ้นดอยชมนาขั้นบันไดสีเขียว เต็มไปด้วยความงามของต้นกล้า เรียนรู้วิถีชาวบ้าน แนะนำให้นอนโฮมสเตย์บนดอย เปิดหน้าต่างรับแสงอาทิตย์หลังเขาสุดโรแมนติก 📌 MEKIN FARM จ.ขอนแก่น – สวนเล็กแสนธรรมดากับความสุขในการทำเกษตรอินทรีย์ ลองนอนกระท่อมปลายนา ท่ามกลางธรรมชาติที่น่าพักผ่อน ชิมอาหารพื้นบ้านที่อร่อยอย่าบอกใคร

มัดรวมฟาร์มสเตย์ 🐓ท่องเที่ยวแนวใหม่ใกล้ชิดธรรมชาติ 🏨 อ่านเพิ่มเติม

✨ ผจญภัยครั้งใหม่…ในดินแดนเกาะพระทอง : พังงา ✨

คุณรู้หรือไม่ว่า เพียงแค่เราคิดว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน ความสุขก็เกิดขึ้นในหัวใจไม่น้อย แล้วถ้าได้ออกเดินทางไปเที่ยวจริง ๆ จะสนุกแค่ไหน วันนี้ บัดดี้จะมาแนะนำเกาะพระทอง ผจญภัยครั้งใหม่ ในดินแดนธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งหาดทราย ชายทะเล ภูเขา ป่าโกงกาง มีทุ่งหญ้าสีทองกับป่าเสม็ดขาวที่กว้างใหญ่ จนได้รับสมญานามว่า “สะวันนาเมืองไทย” บัดดี้อยากให้ทุกคนไปเยือนเกาะพระทอง สักครั้ง พื้นที่กว่า 60,000 ไร่ บนเกาะพระทอง อยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 1.5 กิโลเมตร ในอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีระบบนิเวศที่หลากหลายสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสมบูรณ์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลีกหนีความวุ่นวายได้เป็นอย่างดี ยกให้เป็น Unseen Thailand อีกที่ของเมืองไทย วันนี้บัดดี้จึงขอมาแนะนำกิจกรรมไฮไลต์ ดังนี้ กิจกรรมแรกที่บัดดี้อยากแนะนำ ยามเช้า ๆ ออกไปผจญภัยโดยการขึ้นรถสุดเท่ ผจญภัยในเส้นทางธรรมชาติไปยังกลางเกาะ ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้าสีทองอร่าม (ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) แต่ถ้าไปช่วงเวลานี้อาจจะเป็นสีเขียวมากหน่อย หากโชคดีจะได้พบกับสัตว์ป่าหายาก ได้แก่ กวางป่าหรือกวางม้า นกตะกรุม เหยี่ยวขาว นกแก๊ก นกกระแต แย้ ได้เก็บภาพและบรรยากาศสวย ๆ ชมวิวได้ตามสบาย ไม่ต้องเร่งรีบใด ๆ ถัดจากทุ่งหญ้าสีทอง ก็ไปที่ป่าเสม็ดแคระ ที่เรียงรายกันอย่างสวยงาม ราวกับอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ ต้นที่มีเปลือกหนา ๆ อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี หากสังเกตต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ตามพื้นบริเวณนั้น จะพบกับต้นหยาดน้ำค้าง พืชกินสัตว์ ที่น่าทึ่ง สามารถใช้ความหวานของตนเอง ล่อจับและย่อยแมลงได้ กิจกรรมที่สองต้องห้ามพลาด คือการพายคายัก ณ คลองน้ำใส หรือ คลองสีคราม ที่แวดล้อมไปด้วยป่าโกงกาง มีสัตว์น้ำหลากหลายชนิด โดยเฉพาะปลาตีนคอยแอบเราอยู่ตลอดทาง ได้ออกกำลังกายไปในตัว และยังได้กำลังใจกลับมาอีกมากเลย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการเดินชิล ๆ หรือจะนอน เอนกาย ฟังเสียงคลื่น ปิกนิกริมหาด ชมพระอาทิตย์ตกดิน ชิมอาหารซีฟู้ดจุใจ กลางคืน ชมปูไก่ ปูเสฉวน ออกมาเดินเฉิดฉาย หากมีเวลาอีกวัน แนะนำให้ไปดำน้ำดูปะการัง กัลปังหา สวย ๆ ที่เกาะไข่ เกาะร่ม อยู่ไม่ไกลจากเกาะพระทอง การเดินทาง ลงเรือได้ที่ท่าเรือคุระบุรี ใช้เวลาเดินทางไปเกาะพระทองอีก 1 ชั่วโมง ค่าเรือเที่ยวละ 2,000 บาท ในกรณีที่จองที่พักบนเกาะไว้แล้ว แนะนำให้ทางที่พักช่วยติดต่อจองเรือรับ-ส่งให้ด้วย บน #เกาะพระทอง มีที่พักให้เลือกไม่มาก ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมหาด สร้างแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่มีแอร์ มี WI-FI และมีคลื่นโทรศัพท์ในบางจุดช่วงเวลาที่สวยที่สุดจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ช่วงนี้ถ้าฟ้าฝน ลมพายุ ไม่มี ก็สามารถไปได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ไกด์ดำ โทร. 08 9867 6829 เมื่อจบทริปแล้ว บัดดี้ ได้แรงบันดาลใจอย่างมาก เปิดโอกาสให้ตัวเองเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ สูดอากาศได้เต็มปอด อยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง เก็บภาพประทับใจ นึกถึงความทรงจำที่ดี ผู้คนที่ใจดี อาหารอร่อย ๆ วิวสวย ๆ และคิดว่ามีโอกาส จะกลับไปที่ #เกาะพระทอง อีกสักครั้ง เพราะแต่ละฤดู ความสวยงามก็แตกต่างกัน บัดดี้เชื่อว่า #เกาะพระทอง จะเป็น 1 ในทริปผจญภัยถัดไปที่คุณจะวางแผนมาที่นี่ให้ได้อย่างแน่นอน

✨ ผจญภัยครั้งใหม่…ในดินแดนเกาะพระทอง : พังงา ✨ อ่านเพิ่มเติม

นกเงือก…สัญลักษณ์แห่งรักแท้ 🥰🦅

“นกเงือก” หรือ “Hornbills” เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และถือเป็นตัวบ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่สำคัญ เนื่องจากนกเงือกจะอาศัยอยู่แต่ในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง หากพูดถึงสัญลักษณ์แห่งรักแท้…เมื่อนกเงือกจับคู่แล้ว จะใช้ชีวิตแบบผัวเดียวเมียเดียวไปตลอดชีวิต ไม่ว่าคู่เดิมจะตายหรือหายไปก็จะไม่หาคู่ใหม่โดยนกเงือกจะเริ่มหาคู่ในช่วงปลายปี และเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน❣️ 📣ด้วยพฤติกรรมการครองรักและผสมพันธุ์กับคู่เดิมนี้ จึงยกให้นกเงือกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก มหาวิทยาลัยมหิดลจึงได้กำหนดให้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น “วันรักนกเงือก” (Love Hornbills Day) ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 นกเงือกเป็นนกขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าและป่าดิบเขตร้อน ซึ่งในประเทศไทยมีนกเงือกทั้งหมด 13 ชนิด และหลายชนิดอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์นกเงือกมีลักษณะที่เป็นจุดเด่นของตัวเองคือ ตัวนกจะมีทั้งที่มีขนสีดำ สีขาว บางชนิดอาจจะมีสีอื่น ๆ เช่น สีน้ำตาลหรือสีเทา ส่วนที่ถือว่าฉูดฉาดที่สุดบนตัวนกเงือกจะอยู่ที่บริเวณหนังคอ ไม่ก็ขอบตา มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่มาก นอกจากนี้ นกเงือกยังมีความสำคัญกับระบบนิเวศป่าอีกด้วย ตามธรรมชาติการหาอาหารของนกเงือกจะกินทั้งผลไม้และสัตว์เล็ก ๆ แต่พฤติกรรมส่วนใหญ่จะเลือกกินผลไม้สุกและทิ้งเมล็ดไปในพื้นที่ต่าง ๆ นี่จึงเป็นเหมือนตัวช่วยปลูกป่า ซึ่งเมื่อป่าเติบโตก็จะเป็นแหล่งอาหารต่อไป🌱 🔎แหล่งที่เราสามารถพบเห็นนกเงือกในประเทศไทยมีหลายแห่งมากค่ะ วันนี้เรามีสถานที่ที่พบเห็นนกเงือกมาฝากเป็นไอเดียให้เพื่อน ๆ ได้ไปชมกันด้วย-เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา-อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา-อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา-บาลา จังหวัดนราธิวาส-เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต-ป่าพรุโต๊ะแดง ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร จังหวัดนราธิวาส

นกเงือก…สัญลักษณ์แห่งรักแท้ 🥰🦅 อ่านเพิ่มเติม

✨ น้ำชุบหยำ น้ำพริกพื้นเมืองกับเรื่องเล่าพื้นบ้าน ✨

“น้ำชุบหยำ” ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น “น้ำพริกขยำ” หรือ “น้ำพริกโจร” ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะเคยได้ยินหรือเรียกไม่เหมือนกัน แต่ที่เห็นอยู่นี้ คือน้ำพริกพื้นเมืองที่นิยมรับประทานกันในภาคใต้ วัตถุดิบมีลักษณะคล้ายกับน้ำพริกกะปิของภาคกลาง แต่มีส่วนผสมเพิ่มเติม ได้แก่ กุ้ง กับน้ำกุ้งต้มเพื่อเพิ่มรสหวาน และจะทำน้ำพริกโดยวิธีการขยำ ๆ จนเข้ากัน น้ำชุบหยำ เป็นอาหารที่มีเรื่องเล่ากันว่า “ครั้งหนึ่ง โจรกำลังปล้นบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งในขณะที่กำลังปล้นก็เริ่มรู้สึกหิว จึงหาอะไรกิน และเห็นว่ามีเครื่องทำน้ำพริกอยู่ แต่ถ้าเกิดตำน้ำพริกโดยใช้ครก ก็กลัวว่าเจ้าของบ้านจะตื่น จึงใช้มือขยำ ๆ วัตถุดิบต่าง ๆ แทน” ซึ่งกลายเป็นที่มาของน้ำชุบหยำนั่นเอง ในปัจจุบัน มีสูตรและวิธีทำมากมายตามสื่อออนไลน์ ซึ่งถ้าหากใครที่อยากลองทำดู ก็สามารถทำได้ไม่ยาก หรือถ้าใครที่มีโอกาสเดินทาไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต หรือพังงา แนะนำให้เพื่อน ๆ ลองหารับประทานดูสักครั้งแล้วจะติดใจ

✨ น้ำชุบหยำ น้ำพริกพื้นเมืองกับเรื่องเล่าพื้นบ้าน ✨ อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top