“จังหวัดราชบุรี” เป็นอีกหนึ่งจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยว พักผ่อนในช่วงวันหยุดได้ในระยะเวลาสั้น ๆ โดดเด่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม วัดวาอารามก็น่าชม แถมยังสามารถทำกิจกรรมกับครอบครัว และเพื่อน ๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน
บัดดี้แจกลิสต์ที่เที่ยวให้เพื่อน ๆ ไว้เป็นไอเดียในการวางแผนการเดินทาง ซึ่งนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดราชบุรี ไหนใครมีแพลนจะไปเที่ยวช่วงนี้ จดลิสต์นี้ไว้เป็นอีกตัวเลือกได้เลยนะ
หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส
หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใสเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ชายแดนตะวันตกของอำเภอสวนผึ้ง มีอากาศเย็นและชื้นตลอดทั้งปี เนื่องจากอยู่ติดกับเทือกเขาตะนาวศรี ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ
ที่นี่มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจคือ วัฒนธรรมการตักบาตรของชาวมอญ เรียกว่า “จู๊ดเปอป๊าด” แปลว่าตักบาตร มีทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. โดยขบวนแถวของพระสงฆ์จะทยอยเดินออกมารับบิณฑบาตจากญาติโยมและนักท่องเที่ยว และจะตามด้วยขบวนสาว ๆ ชาวมอญเทินสิ่งของต่าง ๆ บนหัว ถือเป็นประเพณีของชาวมอญที่น่ารักมาก
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีตลาดในหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยวได้มาชอป มาชิมกันอย่างสนุกสนาน มีสินค้าพื้นบ้าน ขนมพื้นเมือง ชุดชาวมอญ รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกมากมาย
จุดชมวิวห้วยคอกหมู
จุดชมวิวห้วยคอกหมู ตั้งอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการกองร้อยตำรวจตะเวนชายแดนที่ 137 ตรงระหว่างเขตชายแดนไทย-เมียนมา มีสภาพอากาศเย็นสบายแทบทั้งปี ในตอนเช้าบางวันจะมีทะเลหมอกสวย ๆ ประกอบกับวิวภูเขาสูงให้ชม แถมพื้นที่บางส่วนของห้วยคอกหมู สามารถกางเต็นท์นอนค้างคืนเพื่อนอนดูดาวสวย ๆ ได้อีกด้วย ไม่มีค่าบริการ แต่มีตู้รับบริจาคสำหรับผู้ที่ต้องการช่วยบำรุงสถานที่
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี ป่าไผ่ อุโมงค์ต้นไม้ จุดพักรถสำหรับชมวิวทิวเขาตะนาวศรีและฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านบ่อหวี ที่ที่เป็นทั้งแปลงผัก ฟาร์มแพะ และจุดขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอีกด้วย
เส้นทางการเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวห้วยคอกหมูเป็นถนนดิน ระยะทาง 6.6 กม. และมีความสูงชัน หากผู้ไม่ชำนาญเส้นทาง สามารถจ้างเหมารถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อได้ มีรถนำเที่ยวของคนในพื้นที่ให้บริการราคาเริ่มต้น 1,500 บาท สามารถนั่งได้ 8 คน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ ผึ้งป่าพาเที่ยว รถบริการท่องเที่ยวสวนผึ้ง หรือโทร. 08 6885 5087 (คุณกวาง)
คำแนะนำ
แก่งส้มแมว
แก่งส้มแมว สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ มีลักษณะเป็นโขดหินหลายก้อนหลายขนาดตั้งสลับซ้อนขวางแม่น้ำลำภาชีไว้ ดูสวยแปลกตา น้ำไม่ลึกและไม่เชี่ยว แถมที่นี่ยังเป็นศูนย์ธรรมชาติที่รวมพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดเอาไว้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มักจะมีการมาเที่ยวเป็นครอบครัว ที่ได้ทั้งความรู้และได้เล่นน้ำ
ตลาดโอ๊ะป่อย
ตลาดโอ๊ะป่อย เป็นตลาดยามเช้า ตั้งอยู่ริมแม่น้ำภาชี มีชื่อเรียกตามภาษาของคนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง มีความหมายว่า “พักผ่อน” ภายในตลาดบรรยากาศร่มรื่น มีร้านค้ามากมายที่ชาวบ้านนำมาขาย เตรียมเปิดร้านกันตั้งแต่เช้ามืด มีทั้งของกิน เสื้อผ้า มีให้เลือกเยอะมาก ที่สำคัญ ภาชนะต่าง ๆ สำหรับใส่อาหาร ล้วนเป็นวัสดุจากธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ไฮไลต์ของตลาดแห่งนี้คือ “การใส่บาตร” ซึ่งพระจะล่องแพไม้ไผ่มาตามแม่น้ำภาชี ให้ผู้คนได้ใส่บาตรบริเวณริมแม่น้ำ ถ้าใครไม่ได้เตรียมของมาถวาย ก็สามารถซื้อภายในตลาด แล้วมาคอยที่ท่าน้ำได้เลย แนะนำว่าให้มาถึงก่อนเวลา 07.30 น.
อ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย
ในอำเภอบ้านคา มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ “ห้วยท่าเคย” ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ทั้งวิวภูเขา ลานหญ้า และป่าสนอยู่รอบ ๆ เป็นภาพที่สวยงามราวกับหลุดมาจากภาพโปสเตอร์เลยทีเดียว
บริเวณฝั่งทิศตะวันออกของอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย ยังเป็นที่ตั้งของที่พักและลานกางเต็นท์หลายแห่ง หากใครยังไม่แน่ใจว่ามาที่นี่แล้วจะพักที่ไหน ขอแนะนำ 4 แห่ง ได้แก่
มะหาด-ไทธารา โฮมสเตย์ Mahad-Thaitara Home Stay
บัดดี้มีโอกาสได้มาพักกางเต็นท์ที่ มะหาด-ไทธารา สถานที่พักผ่อนสำหรับคนรักธรรมชาติ มีบ้านพักให้บริการทั้งแบบห้องพักบนอาคาร บ้านเป็นหลังและลานกางเต็นท์ ที่มีวิวเบื้องหน้าเป็นภูเขาสลับซับซ้อน พร้อมแม่น้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย
เพื่อน ๆ สามารถพายคายักเล่นได้ตามสบาย หากหิวก็สามารถสั่งหมูกะทะมากินได้ สามารถถ่ายรูปคู่กับธรรมชาติสวย ๆ ถ่ายรูปกับน้องม้าและรถจิ๊ปทหารได้ หรือหากใครชอบกาแฟทางที่พักก็มีกาแฟดริปสไตล์เวียดนาม พร้อมไข่ลวกและขนมปังออแกนิกให้บริการอีกด้วย
ค่ากางเต็นท์คนละ 150 บาท
เขาทะลุมิติ
เขาทะลุมิติหรือถ้ำเขาทะลุ มีจุดชมวิวอยู่ด้านบน ใช้เวลาเดินขึ้นไปประมาณ 10-15 นาทีก็จะถึง
ด้านบนของเขาทะลุมิติเป็นถ้ำค้างคาว ลักษณะเป็นโพรงถ้ำคล้ายซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่ มีรูเพดานกว้าง 2 ช่อง มองลงมาเห็นวิวธรรมชาติและท้องทุ่งนาเขียวขจี แนะนำให้มาช่วงเย็น ๆ รอชมแสงพระอาทิตย์ตกสวยสุด ๆ
ที่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ทางขึ้นค่อนข้างชัน มีหินก้อนกลมเล็ก ๆ เป็นส่วนใหญ่ อาจทำให้ลื่น แนะนำให้เดินอย่างระมัดระวังกันด้วย
อุทยานหินเขางู
ในอดีต ที่นี่คือแหล่งระเบิดหินและย่อยหินที่สำคัญของไทย แต่หลังจากมีการยกเลิกสัมปทาน ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้กลายเป็นสวนสาธารณะที่สวยงามและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของราชบุรี มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมากันอย่างไม่ขาดสาย
เที่ยวมุมอันซีน ภูผาแรด บรรยากาศร่มรื่น นั่งเล่นได้ชิล ๆ หรือจะเดินชมรอบ ๆ เช็กอินถ่ายรูปบนสะพานแขวน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปั่นเรือถีบ ถึงแม้ว่าจะอยู่กลางแจ้ง แต่ภายในก็มีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา
วัดมหาธาตุวรวิหาร
วัดเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง สันนิษฐานว่าสร้างราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 18 ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ได้มีการก่อสร้างพระปรางค์แบบอยุธยาขึ้งซ้อนทับและสร้างพระปรางค์บริวารขึ้นอีก 3 องค์บนฐานเดียวกัน ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรี เดิมเรียกกันว่า “วัดหน้าพระธาตุ” หรือ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ”
พระปรางค์ประธาน เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ได้รับการซ่อมแซมเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาตอนต้นบริเวณซุ้มด้านตะวันออกและภาพจิตรกรรมภายในพระปรางค์
พระอุโบสถ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลายจากลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องลด 2 ชั้น 3 ตับ ฐานอาคารมีลักษณะแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภา(แอ่นท้องช้าง) ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานดอกบัว
พระมณฑป เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนในผังสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบบนฐานเขียงรองรับฐานสิงห์ ผนังรอบด้านมีซุ้มหน้าต่างทรงมณฑปด้านละ 1 ซุ้ม ด้านตะวันออกเป็นซุ้มประตูทางเข้า ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาททำด้วยหินทรายสีแดง ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติตอนเสด็จโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์ และตอนผจญกองทัพพญามาร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระเจดีย์ ตั้งเรียงเป็นแถวด้านหน้าพระมณฑปจำนวน 5 องค์ เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังกลมจำนวน 4 องค์ และพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองอีก 1 องค์ เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งหมด
พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน
อีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดราชบุรี สถานที่อนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่ มหรสพเก่าแก่ทางวัฒนธรรมไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากทางยูเนสโก ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ACCU) ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นทรงเรือนไทยโบราณ ภายในเก็บรวบรวมตัวหนังใหญ่ในสภาพสมบูรณ์มาก ที่ปัจจุบันมีตัวหนังมากถึง 313 ตัว
นอกจากนี้ ที่นี่ยังเปิดให้ผู้เข้าชมเรียนรู้ศึกษา ทั้งการเชิดหนังใหญ่ มีการสอนดนตรีไทย และเวิร์คชอปทำพวงกุญแจตอกหนังแบบดั้งเดิมอีกด้วย
