ยะลา

ยะลา

24 จุดเช็กอิน…ยะลา

“ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” คำว่า “ยะลา” แปลว่า “แห” ในสมัยสุโขทัยจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ยะลาเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลปัตตานี ล่วงเลยมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ปรับปรุงการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล แยกออกเป็น 7 หัวเมือง ได้แก่ เมืองปัตตานี เมืองสายบุรี เมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะ เมืองรามัน และเมืองยะลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี เมืองยะลาจึงถูกยกเป็นจังหวัด ยะลาเป็นเมืองชายแดนภาคใต้ ที่มีความน่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่สวยงาม เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชนต่างเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน และมุสลิม ตัวเมืองยะลามีการวางผังเมืองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองยะลา อำเภอรามัน อำเภอกรงปินัง อำเภอยะหา อำเภอกาบัง อำเภอบันนังสตา อำเภอธารโต และอำเภอเบตง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย ตามมาทำความรู้จัก 24 สิ่งที่ต้องห้ามพลาดของจังหวัดยะลากัน 1. ศาลหลักเมืองยะลา ศาลหลักเมืองยะลาเป็นที่สักการบูชาและเคารพนับถือของชาวจังหวัดยะลา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยอดเสาหลักเมืองให้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2505 สร้างด้วยแก่นไม้ชัยพฤกษ์ พระเศียรยอดเสาเป็นรูปพรหมจตุรพักตร์และเปลวไฟ บริเวณโดยรอบเป็นสวนสาธารณะ จัดตกแต่งสวนได้อย่างสวยงามและร่มรื่น มีการจัดงานสมโภชเจ้าพ่อหลักเมืองในเดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ตั้ง : ตั้งอยู่กลางวงเวียนหน้าศาลากลางจังหวัด อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/3W1TAuJAY4WSvELE6 2. วัดคูหาภิมุข ปูชนียสถานที่สำคัญของภาคใต้ เช่นเดียวกับพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แสดงถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธในบริเวณนี้มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย บริเวณวัดร่มรื่น มีธารน้ำไหลผ่านบันไดขึ้นไปยังปากถ้ำ มีรูปปั้นยักษ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าเขา” สร้างโดยช่างพื้นบ้านเมื่อ พ.ศ. 2484 ภายในถ้ำมีลักษณะคล้ายห้องโถงใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ความยาว 81 ฟุต 1 นิ้ว สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศรีวิชัย ราวปี พ.ศ. 1300 เชื่อกันว่าเดิมเป็นปางนารายณ์บรรทมสินธุ์ เพราะมีภาพนาคแผ่พังพานปรกพระเศียร ต่อมาจึงได้ดัดแปลงเป็นพระพุทธไสยาสน์แบบหินยาน และยังมีปล่องที่เพดานถ้ำ ที่เมื่อยามแสงแดดส่องลงมาในโถงถ้ำจะดูงดงามมาก ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/NAqwhFhHVAAgDLga7 3. มัสยิดกลางยะลา เป็นมัสยิดใหญ่ประจำจังหวัด มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “มัสยิดเราฎอตุลยันนะห์” สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2527 เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่สอดแทรกเส้นกรอบทรงสุเหร่าไว้ได้อย่างกลมกลืน ด้านหน้าเป็นบันไดกว้าง 30 ขั้น ทอดยาวสู่ลานชั้นบน ลักษณะหลังคาทรงสี่เหลี่ยมมีโดมใหญ่อยู่ตรงกลาง (การเที่ยวชมมัสยิด ควรสำรวมและแต่งกายสุภาพ) ที่ตั้ง : ถนนสิโรรส บ้านตลาดเก่า อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/HTGUaXEvGUh3RC3g8 4. เขื่อนบางลาง เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำอเนกประสงค์แห่งแรกในภาคใต้ที่สร้างปิดกั้นแม่น้ำปัตตานี เป็นเขื่อนแบบหินทิ้งแกนดินเหนียว มีความสูง 85 เมตร สันเขื่อนยาว 422 เมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ 1,420 ล้านลูกบาศก์เมตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนบางลาง เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2524 บริเวณเหนือเขื่อนมีจุดชมทิวทัศน์ ซึ่งมองเห็นทัศนียภาพของเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และทิวเขาโดยรอบได้สวยงาม ที่ตั้ง : บ้านบางลาง ตำบลเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/uWibx4FSxq1mEgMD8 5. ทะเลสาบฮาลาบาลา มีจุดล่องเรือหลักอยู่ที่ ท่าเรือตาพะเยา อําเภอธารโต จังหวัดยะลา ใช้เวลาล่องเรือประมาณครึ่งวัน โดยเรือจะพาแวะเที่ยวชมเกาะแก่งต่าง ๆ ในทะเลสาบ เช่น เกาะทวด เกาะป็อปคอร์น บางจุดจะมีน้ำตกที่ไหลผ่านซอกหินลงมาที่ทะเลสาบ สามารถลงเล่นน้ำได้ สอบถามข้อมูล ท่าเรือตาพะเยา โทร. 08 2675 9053 ที่ตั้ง : ท่าเรือตาพะเยา ตำบลแม่หวาด อําเภอธารโต จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/4sm353sgrfMyPN1j6 6. สะพานโต๊ะกูแช เป็นสะพานข้ามเขื่อนบางลาง เชื่อมต่อเส้นทางจากอำเภอธารโตไปยังอำเภอเบตง เป็นจุดพักรถและชมวิวที่สวยงาม มองเห็นทัศนียภาพของเวิ้งน้ำขนาดใหญ่โอบล้อมด้วยความเขียวขจีของต้นไม้นานาชนิดแบบป่าดิบชื้นที่คงไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในการแวะถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก ที่ตั้ง : บนทางหลวงหมายเลข 410 ตำบลแม่หวาด อำเภอธารโต จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/NF5rDhz3BZTWvcKM6 7. สะพานแตปูซู เป็นสะพานไม้ที่แขวนยึดด้วยลวดสลิง ใช้สัญจรเฉพาะจักรยานยนต์และเดินเท้าข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี เป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก ที่ตั้ง : หมู่บ้าน กม. 32 ริมทางหลวงหมายเลข 410 (เบตง-ยะลา) ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลาพิกัด : https://maps.app.goo.gl/wATdxxnZxD1DvzSM8 8. จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เป็นพื้นที่ตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ จึงเป็นที่มาของชื่อเขาไมโครเวฟ มีความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 2,038 ฟุต บนยอดเขามีอากาศเย็นสบาย สามารถชมทะเลหมอกได้ทั้งทิศตะวันออกและตะวันตก บนเขาไมโครเวฟมีจุดชมวิว 3 จุด คือ จุดที่ 1 สกายวอร์กอัยเยอร์เวง […]

24 จุดเช็กอิน…ยะลา อ่านเพิ่มเติม

✨ แนะนำที่เที่ยวเดือนพฤศจิกายน ✨

สวัสดีทุกคน สิ้นเดือนแบบนี้ แอดจะมาแนะนำสถานที่เที่ยวในเดือนพฤศจิกายนนิด ๆ หน่อย ๆ ให้กับเพื่อน ๆ เผื่อใครอยากเที่ยว แต่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ลองมาอ่านสถานที่ที่แอดนำมาเสนอประกอบการตัดสินใจกันได้เลย แต่ไปเที่ยวแล้วอย่าลืมรักษ์ธรรมชาติกันด้วยล่ะ สถานที่ท่องเที่ยวจะได้สวยงามไปนาน ๆ ให้เรากลับไปเที่ยวได้บ่อย ๆ #responsibletourism  อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่  เริ่มต้นกันที่ภาคเหนือ อากาศเริ่มหนาวลงแล้ว แอดแนะนำ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุม อ.จอมทอง อ.แม่แจ่ม อ.แม่วาง อ.ดอยหล่อ ที่นี่มีที่ให้เที่ยวเยอะมาก เช่น นาขั้นบันไดป่าบงเปียง น้ำตกผาดอกเสี้ยว น้ำตกวชิรธาร เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ซึ่งตลอดเส้นทางจะเห็นทิวทัศน์สวย ๆ ของทิวเขาสลับซับซ้อนมากมาย แต่เดิมดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ซึ่งคำว่า “หลวง” ในภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่ และคำว่า “อ่างกา” ในภาษาปกาเกอะญอ ก็แปลว่า ใหญ่ ซึ่งทั้งสองชื่อหมายถึงดอยที่มีขนาดใหญ่เหมือนกัน ในเวลาต่อมาดอยแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ดอยอินทนนท์” ตามพระนามของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 พระบิดาของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน จะมีไกด์ท้องถิ่นพาเดินและแนะนำจุดน่าสนใจต่าง ๆ ระหว่างทาง จุดชมวิวเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา น้ำตกผาดอกเสี้ยว หนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “รักจัง” น้ำตกวชิรธาร นาขั้นบันไดป่าบงเปียง หากมาหน้าฝนจะเจอภูเขาสีเขียวชุ่มฉ่ำ หากมาช่วงเริ่มหนาวจะเจอต้นข้าวสีเหลืองทองสวยงาม  ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จ.ยะลา  สถานที่ต่อมา อยู่ใต้สุดของประเทศไทย นั่นก็คือทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ที่นี่มี Sky walk ที่สามารถชมวิวทะเลหมอกมุมสูงและเดินไปตามระเบียงทางเดินที่ยื่นออกไปจากฐาน ส่วนปลายคือระเบียงที่มีลักษณะเป็นพื้นกระจกใส ที่ Sky walk จะมีการจำกัดจำนวนคนในการเข้าชม ประมาณรอบละ 70 คน (รอบละ 15 นาที) เมื่อหมดเวลาจะมีเสียงกระดิ่ง เพื่อน ๆ ก็เดินลงบันไดที่อยู่บริเวณกลางสะพานลงมาได้เลย หากใครต้องการชมหมอกสวย ๆ พร้อมกับวิวพระอาทิตย์ขึ้น แอดแนะนำให้มาแต่เช้า รับรองวิวที่เห็นคุ้มกับการตื่นเช้าแน่นอน Skywalk อัยเยอร์เวง Skywalk อัยเยอร์เวง  อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จ.อุบลราชธานี  ที่ต่อมาอยู่ภาคอีสาน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและสปป.ลาว ช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกไม้ป่าอย่างดอกสร้อยสุวรรณา ดุสิตา สรัสจันทร ทิพเกสรและมณีเทวา ออกดอกบานสะพรั่งบริเวณลานเสาเฉลียงคู่ นอกจากนี้ภายในอุทยานฯ ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงอารยธรรมมนุษย์โบราณและประติมากรรมธรรมชาติที่มีรูปทรงแปลกตา ทั้งภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ น้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกแสงจันทร์ ผาโสก รวมถึง “ผาชะนะได” จุดชมตะวันขึ้นที่แรกของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาเยือน จุดชมตะวันขึ้นที่แรกของประเทศไทย “ผาชะนะได” ผาโสก น้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกสุดสวยของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม น้ำตกห้วยพอก  ทุ่งปอเทืองไร่ธรรมชัย จ.นครสวรรค์  ทุ่งดอกไม้สวยของ จ.นครสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยปอเทืองสีเหลืองเต็มทุ่งตัดกับแนวภูเขาสีเขียว ที่จะบานในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม มีจุดถ่ายรูปที่ห้ามพลาดคือบันไดลอยฟ้า ซุ้มถ่ายภาพ ระเบียงชมวิวบริเวณกลางทุ่ง เนื่องจากทุ่งปอเทืองที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก แอดแนะนำให้เตรียมร่มและหมวกมาด้วย เพราะแดดค่อนข้างแรง ดอกปอเทือง ไร่ธรรมชัย กลางไร่มีจุดถ่ายรูป บันไดลอยฟ้า ใครอยากได้รูปสวย ๆ อย่าพลาดล่ะ  เกาะช้าง จ.ตราด  ปิดท้ายกันที่เที่ยวทะเลบ้าง สำหรับสภาพภูมิอากาศของเกาะช้างระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ จะมีอากาศเย็นสดชื่น ท้องฟ้าโปร่งใส มาเที่ยวได้ สนุกแน่นอน เกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับดับสองของประเทศไทยรองจากภูเก็ต มีความอุดมสมบูรณ์ โอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าฝนเมืองร้อน มีที่เที่ยว ที่พักและจุดน่าเช็กอิน เกาะช้างแบ่งออกเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ใครชอบเที่ยวหาดทรายสวย ๆ ขาว ๆ เล่นน้ำได้ มีร้านอาหารริมทะเล มีที่พัก ติดชายหาดต้องมาฝั่งขวา ส่วนทางซ้ายจะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และชุมชนของชาวบ้านที่นี่ ป่าชายเลนชุมชนบ้านสลักเพชร อยู่ฝั่งซ้ายของเกาะ เป็นเส้นทางเดินสบาย มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูป น้ำตกคลองพลู ใครสนใจเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ แอดแนะนำที่นี่เลย ปางช้างคลองพลู ชุมชนบ้านสลักคอก สถานที่ล่องเรือยอดฮิตอีกแห่งของเกาะช้าง หากชอบพายคายัคหรือดำน้ำ แอดแนะนำฝั่งขวาของเกาะ จุดชมวิวหาดทรายขาว หาดเพนนินซูลา

✨ แนะนำที่เที่ยวเดือนพฤศจิกายน ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ แนะนำมัสยิดสวยแดนใต้ ✨

มัสยิดในแดนใต้หลายแห่งขึ้นชื่อว่ามีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอลังการมาก ๆ เท่าที่แอดได้เห็นก็ประทับใจไปหมดทุกที่ หากใครมีโอกาสแวะมาเที่ยวทางใต้ แอดก็อยากให้ลองมาตามรอยเพื่อชมของจริงด้วยตาตัวเองกัน  มัสยิดกลางสงขลา (มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม) จ.สงขลา  เป็นมัสยิดที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายกับทัชมาฮาลที่ประเทศอินเดีย ด้านหน้ามีสระน้ำยาวกว่า 200 เมตร ภายในตกแต่งสวยงาม ประณีตอ่อนช้อย พื้นปูด้วยหินอ่อน มีความโอ่โถง เหมาะกับการทำพีธีกรรมทางศาสนาและทำจิตใจให้สงบ ในช่วงพระอาทิตย์ตก ที่นี่จะสวยเป็นพิเศษ จึงมีเหล่าช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพสถาปัตยกรรมสวย ๆ นิยมเดินทางมาเก็บภาพกัน หากเพื่อน ๆ อยากชม “ทัชมาฮาล” แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปประเทศอินเดีย สามารถลองมาที่นี่ก่อนได้นะ : 352 ถนนลพบุรีราเมศวร์ ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 : 08.30-15.30 น. (ปิดวันศุกร์) : 0 7430 5300 : https://goo.gl/maps/AFcrko6qhkZ3XAM7A  มัสยิดกรือเซะ (มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์) จ.ปัตตานี  เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 มัสยิดกรือเซะมีอีกชื่อว่า “มัสยิดปิตูกรือบัน” ซึ่งมาจากรูปทรงของประตูมัสยิด ที่มีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบโกธิค โดยคำว่า ปิตู แปลว่า ประตู ส่วนคำว่า กรือบัน แปลว่า ช่องประตูที่มีรูปโค้ง ส่วนที่มัสยิดสร้างไม่เสร็จนั้น จากการสำรวจของกรมศิลปากร พบว่าโครงสร้างโดมนั้นมีลักษณะไม่แข็งแรง ขาดความสมดุล จึงทำให้พังทลาย ประกอบกับช่วงนั้นผู้ปกครองเมืองได้ย้ายศูนย์กลางเมืองไปยังบานาและจะบังติกอ มัสยิดกรือเซะจึงถูกทิ้งให้ร้างไป  ในปี พ.ศ. 2478 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและทำการบูรณะซ่อมแซม เพื่อให้มัสยิดกรือเซะ ยังคงสภาพเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี และสามารถใช้เป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจได้ต่อไป ใครสนใจอยากชมมัสยิดที่มีความสวยงามแบบดิบ ๆ หน่อย แอดแนะนำที่นี่เลย : ตลาดเก่าเทศบาลนคร ถนนสิโรรส อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา 95000 : ทุกวัน 24 ชั่วโมง : https://goo.gl/maps/PahKvFQBTbfEL4mc7  มัสยิดกลางปัตตานี จ.ปัตตานี  นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจ และแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองปัตตานีแล้ว ที่นี่ยังถือว่าเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยอีกด้วย มัสยิดกลางปัตตานีเป็นอีกแห่งที่มีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย โดยผสมผสานกับลักษณะวิหารแบบตะวันตก ตรงกลางอาคารมียอดโดมขนาดใหญ่ มีทางเดินแยก 2 ด้านซ้ายขวา มีโดมบริวาร 4 ทิศ และมีหอคอยสูงอยู่สองข้าง บริเวณด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มัสยิดแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกกรมศาสนา เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ : ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 94000 : ทุกวัน 09.30-15.30 น. (ปิดวันศุกร์) : 08 9654 9496 : https://goo.gl/maps/BZRfPje7HaH9wHDv9  มัสยิดวาดีลฮูเซ็น จ.นราธิวาส  มีอีกชื่อหนึ่งว่า มัสยิดตะโละมาเนาะ (มัสยิด 300 ปี) สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2167 โดยผู้อพยพมาจากจังหวัดปัตตานี มัสยิดนี้ จะมีความต่างจากมัสยิดทั่วไปตรงที่ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ตะเคียนทั้งหลัง รูปทรงอาคารเป็นแบบไทยพื้นเมืองผสมผสานด้วยศิลปะจีนและมลายู ก่อสร้างตามแบบภูมิปัญญาโบราณ คือใช้ไม้สลักแทนตะปู หลังคาเป็นกระเบื้องดินเผา ตัวผนังจะใช้ไม้ทั้งแผ่นแล้วเจาะหน้าต่าง มีช่องลมแกะเป็นลวดลาย ใบไม้ ดอกไม้สลับลายจีน ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานประกอบศาสนกิจ หากต้องการเข้าชมภายในต้องได้รับอนุญาตจากโต๊ะอิหม่ามประจำหมู่บ้านก่อน โดยทั่วไปจะสามารถเข้าชมได้บริเวณภายนอกเท่านั้น : ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส 96170 : ทุกวัน 08.00-18.00 น. : 0 7352 2411 : https://goo.gl/maps/WQwjwFwWg1FbShBs6  ข้อควรรู้เรื่องการแต่งกายก่อนเข้าชมมัสยิด  เนื่องจากมัสยิดเป็นศาสนาสถานที่สำคัญของศาสนาอิสลาม หลายที่เปิดให้เข้าชมได้แม้จะนับถือต่างศาสนา ดังนั้นควรแต่งกายให้เกียรติสถานที่ โดยแต่งกายให้สุภาพ ไม่ใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้น เสื้อสายเดี่ยว และเสื้อรัดรูป ปัจจุบัน หลาย ๆ แห่งจะมีผ้าคลุมให้นักท่องเที่ยวใช้คลุมเพื่อเข้าชมภายใน 

✨ แนะนำมัสยิดสวยแดนใต้ ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ฆูนุงซีลีปัต จ.ยะลา ✨

ฆูนุงซีลีปัต จุดชมทะเลหมอกใน #เบตง ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว ว่าแต่เคยไปเยือนบ้างหรือยังคะ มาค่ะ วันนี้แอดจะพาเพื่อน ๆ ไปชมหมอกแบบ 360 องศาที่ ฆูนุงซีลีปัต ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย 📍 ที่ตั้ง : ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา🌐 พิกัด : https://goo.gl/maps/4pCbUmsLeHeJ9SSW9 ฆูนุงซีลีปัต เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า ภูเขาหินทรงสามเหลี่ยม  ตั้งอยู่ที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มีความสูง 607 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ที่นี่มีทะเลหมอกให้ชมตลอดทั้งปี แถมยังเป็นการชมหมอกแบบ 360 องศาเหมือนกับว่าเราถูกโอบกอดด้วยหมอกที่ลอยเต็มไปหมด ในการเดินทางขึ้นฆูนุงซีลีปัตมีสองเส้นทาง เส้นทางที่ 1 นั่งรถโฟร์วีลขึ้นไป 3 กิโลเมตรและเดินเท้าต่ออีก 2 กิโลเมตรไปยังจุดกางเต็นท์ โดยรถโฟร์วีลจะมารอรับที่ร้านก๋วยเตี๋ยวกะลาในหมู่บ้าน ที่พิกัด กม.28 (https://goo.gl/maps/MfVasb7y1wYa6JiN9) ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนชอบท้าทายกำลังขาของตัวเองสามารถเลือกเส้นทางนี้ได้นะคะ ส่วนเส้นทางที่ 2 จุดขึ้นรถอยู่บริเวณด่านความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่พิกัด กม.23 (https://g.page/gunungsilipatprakytipcamping?share) จะมีรถโฟร์วีลมารับเราขึ้นไปยังจุดที่จอดรถ และเดินต่ออีก 400 เมตรก็ถึงจุดกางเต็นท์ เพื่อน ๆ ที่ไม่ได้ค้างคืนข้างบนสามารถเลือกเส้นทางที่ 2 ได้ค่ะ เนื่องจากที่นี่สามารถดูดาวและทางช้างเผือกได้ด้วย แอดเลยเลือกจองทริป 2 วัน 1 คืนค่ะ ไปถึงจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถโฟร์วีลประมาณ 16:00 น. ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาทีก็ถึงจุดกางเต็นท์ สตาฟจะกางเต็นท์ไว้รอเราเลย จากจุดกางเต็นท์ไปยังยอดฆูนุงซีลีปัต ระยะทางประมาณ 300 เมตร มาถึงฆูนุงซีลีปัตทั้งที แอดก็อยากจะเห็นทั้งพระอาทิตย์ตก ดาวเต็มฟ้าในยามกลางคืน และพระอาทิตย์ขึ้น จากจุดที่เรากางเต็นท์ไปถึงยอดฆูนุงซีลีปัต ช่วงแรกก็จะเดินแบบสบาย ๆ และจะเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะบริเวณไหนที่ชันมาก ๆ ก็จะมีเชือกไว้ให้ดึงเพื่อพยุงตัวขึ้นไป เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอด รู้สึกเหมือนนักกีฬาได้เหรียญทองเลยค่ะ เพราะวิวสวยมาก มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อนได้ 360 องศาตามที่สตาฟบอกไว้จริง ๆ ฆูนุงซีลีปัตที่ไม่มีหมอกก็สวยไปอีกแบบใช่ไหมล่ะคะ ชมพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วลงมารับประทานอาหารที่ทางสตาฟได้จัดไว้ให้แถมยังมีลูกชิ้นและน่องไก่ที่หมักโดยสตาฟ เขาแอบกระซิบว่าเป็นสูตรลับของเขาค่ะ รสชาติคล้าย ๆ ต้มยำอร่อยมากเลย จากนั้นก็ได้เวลาดูดาว สตาฟจะแจ้งว่าควรจะขึ้นไปกี่โมง ส่วนเต็นท์ไม่สามารถกางเพื่อพักแรมได้ แต่สามารถนำมากางเพื่อถ่ายรูปและหลบน้ำค้างชั่วคราวได้ ที่นี่เหมาะแก่การดูดาวและทางช้างเผือกมาก เพราะพื้นที่บริเวณนี้ไม่ค่อยมีบ้านคน ไม่มีแสงไฟรบกวนเวลาดูดาวแน่นอนค่ะ กลางคืนดูดาวผ่านไปแล้ว เช้ามาเราก็ขึ้นมาอีกรอบเพื่อมาดูหมอกค่ะ มาฆูนุงซีลีปัตครั้งนี้ เจอทั้งฆูนุงซีลีปัตตอนเย็น ตอนกลางคืน และตอนเช้า สวยทุกเวลาจริง ๆ ลองมาสัมผัสด้วยตาของตัวเองดูสักครั้ง รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ค่าใช้จ่าย  5 คนขึ้นไป ราคาคนละ 800 บาท น้อยกว่า 5 คน ราคาคนละ 1,000 บาท (ราคารวม รถโฟร์วีลขึ้น-ลง, อาหารเย็น 1 มื้อ, อาหารว่าง 2 มื้อ, น้ำดื่ม, เต็นท์และหมอน, ค่าธรรมเนียมจุดกางเต็นท์) สิ่งที่ต้องเตรียม คือ ไฟฉาย ยากันยุง เสื้อกันฝน และผ้าห่มหรือถุงนอน บริเวณจุดกางเต็นท์มีห้องน้ำแต่ไม่สามารถอาบน้ำได้นะคะ เนื่องจากน้ำข้างบนจะน้อยค่ะ จองทริปหรือสอบถามข้อมูล ท่องเที่ยวชุมชนทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต โทร. 081 093 8549 (เฮง), 082 265 6900 (ซู) *แนะนำให้โทรจองล่วงหน้านะคะ*

✨ฆูนุงซีลีปัต จ.ยะลา ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ แนะนำอาหารเบตง (ต้องลอง) ✨

ช่วงที่ผ่านมาแอดมีโอกาสได้ไปที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมืองเล็ก ๆ บริเวณด้ามขวานของประเทศไทย ซึ่งมีสิ่งที่ทำให้แอดประทับใจอยู่เต็มไปหมด และหนึ่งในนั้นคือ อาหาร เอาล่ะ…เตรียมตัวให้ดี ต่อจากนี้แอดขอเสิร์ฟจานเด็ดที่แอดประทับใจมากมาฝาก ซึ่งหากไม่ได้ไปเบตงละก็ โอกาสที่จะได้กินมีน้อยมาก ๆ เลยล่ะ ✨ ผักน้ำเบตง ✨ ผักน้ำเบตง หรือ ซ้าหย่างชอย (ภาษาจีนกวางตุ้ง) เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่ปลูกอยู่ใน อ.เบตง มาตั้งแต่สมัยที่ชาวจีนอพยพมาที่ประเทศไทย ดูภายนอก คล้ายผักชีล้อม ใบเล็ก ลำต้นอวบน้ำ เติบโตได้ดีในพื้นที่มีน้ำเย็นสะอาดไหลผ่าน ผักน้ำเบตง สามารถนำไปประกอบเมนูได้หลากหลาย เช่น ผัดน้ำมันหอย ใส่แกงจืด หรือจะเอาไปลวกกินเคียงกับน้ำพริกก็ได้ อร่อยทุกแบบ สามารถไปลองกินได้ที่ : ร้านต้าเหยิน(กิตติ) 📌 : ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา 95110 ⏰ : เปิดให้บริการทุกวัน 10:00–22:00 น. 📞 : 0 7323 0461  ปลานิลสายน้ำไหล  ปลานิลสายน้ำไหล เป็นปลาเศรษฐกิจของอำเภอเบตง ที่ทางเกษตรกรผู้เลี้ยงนำปลานิลมาเลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลธรรมชาติ โดยทำฝายกักน้ำและใช้แหล่งน้ำธรรมชาติจากภูเขาที่มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็นและมีการไหลเวียนตลอดเวลา ทำให้ได้ปลาที่แข็งแรง เนื้อมีไขมันแทรกพอดี ไม่มีกลิ่นดินโคลนเหมือนกับปลาที่เลี้ยงในบ่อธรรมดา ปลานิลสายน้ำไหล สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลาย เช่น ปลานิลนึ่งซีอิ๊ว-นึ่งมะนาว ปลานิลแดดเดียว ปลานิลทอดสมุนไพร จิ้มจุ่ม ซาซิมิปลานิล หรือเมนูที่แปลกใหม่สำหรับแอดอย่าง ขลุ่ยปลานิล ลักษณะเป็นปอเปี๊ยะไส้ปลานิล พันด้วยสาหร่าย แล้วนำไปทอดกรอบ รสชาติดีมากทีเดียว สามารถไปลองกินได้ที่ : ปลานิลสายน้ำไหลโกหงิ่ว : 138/2 ตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา : เปิดให้บริการทุกวัน 10:00–18:00 น. : 09 5094 6153, 09 7226 7485  ✨ ไก่เบตง ✨ ไก่เบตงถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบขึ้นชื่อของที่นี่ เกิดจากเมื่อครั้งที่ชาวจีนในอดีตอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เบตง ได้นำพันธุ์ไก่จากมณฑลกวางไส ประเทศจีน มาผสมกับไก่พื้นเมืองจนเกิดเป็นไก่เบตงขึ้น โดยไก่เบตงนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติความอร่อยและรสสัมผัสที่โดดเด่น เนื้อนุ่มแต่ไม่มีมันผสม หนังกรอบ มีรสหวาน แต่กว่าจะได้เนื้อไก่ที่มีคุณภาพขนาดนี้ ต้องพิถีพิถันตั้งแต่วิธีการเลี้ยง โดยจะเลี้ยงแบบปล่อย ไม่ขังกรง อาหารก็ต้องเลี้ยงด้วยข้าวโพด ข้าวสวยหุงสุก รำ และหยวกกล้วย เป็นต้น เพื่อทำให้เนื้อมีรสชาติพิเศษกว่าไก่ชนิดอื่น แถมระยะเวลาเลี้ยง ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน ถึงจะได้ไก่เบตงที่มีคุณภาพพอในการนำมาทำอาหารอร่อย ๆ ให้เราได้กินกัน ด้วยความที่ไก่เบตง มีเนื้อและรสสัมผัสที่มีคุณภาพอยู่แล้ว นำไปทำเมนูไหนก็อร่อย แต่ที่นิยมที่สุดก็คือ ข้าวมันไก่เบตง ที่จะเสิร์ฟไก่สับแบบเป็นจานพร้อมราด “ซีอิ๊วเบตง” ซึ่งเป็นซีอิ๊วถั่วเหลืองหมักสูตรพิเศษ รสเค็มและหวานอ่อน ๆ ที่เข้ากันสุด ๆ เวลากินให้ราดน้ำจิ้มข้าวมันไก่ลงไปนิดหน่อย เผลอแป๊บเดียว ข้าวหมดจานไม่รู้ตัว สามารถไปลองกินได้ที่ : ร้านเจริญข้าวมันไก่📌 : 202 ถนนสุขยางค์ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา⏰ : เปิดให้บริการทุกวัน 06:00–14:30 น.📞 : 08 4015 2058 ✨ เฉาก๊วยเบตง ✨ เฉาก๊วย หรือวุ้นดำของอำเภอเบตง ขนมขึ้นชื่อที่ทำจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ปลูกในประเทศจีน ใช้กรรมวิธีการทำแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เริ่มจากต้มหญ้าเฉาก๊วยนี้กว่า 3 ชั่วโมง กรองเอาเฉพาะน้ำ แล้วนำมาผสมกับแป้งมันสำปะหลังและเคี่ยวต่อจนเหนียวตามต้องการ ตั้งพักให้เย็นจนเนื้อเฉาก๊วยจับตัว เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากลิ้มลองของหวานกลิ่นหอมเนื้อนุ่มเด้งตามแบบเบตง สามารถมาที่ หมู่บ้านฮากกา กม.4 ซึ่งทางร้านจะเสิร์ฟแบบหั่นเป็นลูกเต๋า ราดด้วยน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดง ใส่น้ำแข็งเพิ่มความเย็นชื่นใจ ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณในการแก้ร้อนในอีกด้วย สามารถไปลองกินได้ที่ : เฉาก๊วย กม.4 (เจ้าเก่า) 📌 : ตำบลตะเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา 95110 ⏰ : เปิดให้บริการทุกวัน 08:00–14:00 น. 📞 : 0 7323 0413

✨ แนะนำอาหารเบตง (ต้องลอง) ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ เที่ยวเบตง ชมหมอกอัยเยอร์เวง 2 วัน 1 คืน ✨

หากพูดถึงการเที่ยวภาคใต้ ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับทะเลแน่ แต่วันนี้แอดมีที่เที่ยวในอีกสไตล์ที่ จ.ยะลามานำเสนอ ลองตามมาเที่ยวกันได้ รับรองว่าประทับใจจนอยากกลับไปอีกครั้งแน่ ๆ  โปรแกรมเที่ยว  วันที่ 1 1. ชมวัดคูหาภิมุข วัดสวยบนเขาที่โอบรอบด้วยแม่น้ำ 2. ชมสวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง ที่สวนหมื่นบุปผา 3. เดินเล่นชมและชิมในเมืองเบตงยามค่ำคืน เช็คอินที่อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ วันที่ 2 4. ชมทะเลหมอกแดนใต้ที่ สกายวอร์คอัยเยอร์เวง 5. อิ่มอร่อยกับมื้อเช้าแบบชาวเบตงพร้อมเดินสำรวจตัวเมือง วันที่ 1  วัดคูหาภิมุข (วัดหน้าถ้ำ)  สถานที่แรกคือวัดคูหาภิมุข ใช้เวลาขับรถจากสนามบินหาดใหญ่ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เดิมวัดนี้ชื่อ วัดหน้าถ้ำ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดคูหาภิมุข ในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ไฮไลท์ของที่นี่คือถ้ำที่อยู่บนเนินเขา ซึ่งเราต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่งของสระน้ำ เพื่อไปยังทางเดินขึ้นเขา มองไกล ๆ บริเวณทางเข้าถ้ำดูบรรยากาศร่มรื่นมาก บันไดทางขึ้นเขาสร้างไว้อย่างดี เดินสะดวก เดินขึ้นไปราว ๆ 4-5 นาทีจะเจอลานพักขนาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย” สถานที่เก็บวัตถุโบราณที่ขุดค้นได้จากถ้ำต่าง ๆ ในบริเวณนี้ เช่น พระพิมพ์ดินดิบ สถูป เม็ดพระศก ขวานหินขัด เครื่องถ้วย และอิฐฐานพระพุทธรูป บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ศรีวิชัย เป็นศาลาให้เช่าวัตถุมงคลสำหรับคนที่มีความศรัทธาหรือต้องการหาที่พึ่งทางใจ ในราคาเริ่มต้น 10-20 บาท ใครสนใจลองแวะมาดูได้นะ หลังจากชมของเก่าและของขลังแล้ว เดินขึ้นบันไดมาอีกราว ๆ 5 นาที เพื่อน ๆ จะพบกับรูปปั้นยักษ์คอนกรีต ที่ชาวบ้านเรียกว่า “พ่อท่านเจ้าเขา” มีความสูง 6 เมตร ลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายเงาะป่า ดวงตาโปน งูเห่าพันรอบคอและแขน นุ่งผ้าเตี่ยว ยืนถือกระบองอยู่ที่บริเวณก่อนถึงประตูเข้าถ้ำ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าอาวาสวัดคูหาภิมุข และผู้หลักผู้ใหญ่ของตำบลหน้าถ้ำในเวลานั้นเห็นพ้องให้สร้างพ่อท่านเจ้าเขาขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและปกปักษ์รักษาชาวบ้านหน้าถ้ำให้พ้นภัย รวมทั้งเชื่อว่าจะช่วยปกป้องรักษาองค์พระพุทธไสยาสน์ในถ้ำด้วย บริเวณหน้าทางเข้าถ้ำ จะมีรูปปั้นองค์ฤาษี รูปปั้นเทวดา และพญานาค นอกจากนี้ ใต้หินงอกหินย้อยยังมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำในแอ่งนี้ คือ น้ำศักดิ์สิทธิ์ ภายในถ้ำ มีโถงที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยพระพุทธรูปเก่าแก่ ที่เด่นที่สุดก็คือ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ความยาว 81 ฟุต 1 นิ้ว ชาวบ้านเรียกว่า พ่อท่านบรรทม ซึ่งเป็นองค์ที่มีการบูรณะขึ้นใหม่ โดยสร้างทับองค์เดิมที่สร้างจากโครงไม้ไผ่สานเป็นตะแกรงโบกด้วยดินดิบ บริเวณหลังองค์พ่อท่านบรรทม มีรูปปั้นพญานาคทอดตัวแผ่พังพานอยู่เหนือเศียร นอกจากพ่อท่านบรรทมแล้ว ในถ้ำยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม พระสังกัจจายน์ รวมถึงพระพุทธรูปอีกมากมาย แม้จะเป็นถ้ำ แต่ก็ไม่อึดอัด ไม่ร้อนอบอ้าว หายใจได้สะดวก เนื่องจากในถ้ำมีปล่องถ้ำธรรมชาติ ทำให้ระบายอากาศได้ดีและช่วยให้มีแสงสว่างในถ้ำ หากใครสนใจอยากมาสัมผัสความขลังกลางขุนเขาแบบแอด ตามมาได้เลย วัดคูหาภิมุข (วัดหน้าถ้ำ)  : 136 ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา 95000  : ทุกวัน เวลา 08:00 – 17:30 น.  : https://goo.gl/maps/FjxxCMAR2VVJZtww7  สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง (สวนหมื่นบุปผา)  จากวัดคูหาภิมุข เดินทางราว ๆ 2 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง “สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง” เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งเดียวในภาคใต้ มีพื้นที่กว่า 35 ไร่ เป็นโครงการไม้ดอกเมืองหนาวอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงอักษรจีนพระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า ว่านฮัวหยวน แปลเป็นไทยว่า ” สวนหมื่นบุปผา “ ด้วยความที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา จึงมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 18 องศาเซลเซียส ทำให้มีดอกไม้เมืองหนาวมากมายหลายสายพันธุ์หมุนเวียนกันออกดอก สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยในโซนด้านหน้าก่อนถึงพื้นที่ของสวนดอกไม้ก็เริ่มว้าวแล้ว เพราะเพื่อน ๆ จะพบกับโรงเรือนปลูกแปลงดอกเบศจมาศหลากสีก่อนเลย ภายในโซนสวน มีแปลงปลูกไม้ดอกกลางแจ้ง เช่น แกลดิโอลัส บานไม่รู้โรย ดาวเรือง รักเร่ ซ่อนกลิ่น หากมองไปทิศตรงข้ามจะพบกับสวนดอกไม้ในโรงเรือน ที่มีดอกไม้อย่างดอกลิลลี่ แอสเตอร์ กุหลาบ พีค๊อก เยอบีร่า สายดอกไม้มาที่นี่ถ่ายรูปกันเพลินเลยล่ะ นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมดอกไม้ได้ทั้งปี ยกเว้นดอกลิลลี่ ที่สามารถชมได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาวและช่วงเทศกาลดอกไม้งามเบตงในช่วงเดือนมกราคมเท่านั้น ภายในสวนหมื่นบุปผา มีที่พักและร้านอาหารให้บริการ ถ้าไม่ติดว่าแอดตั้งใจจะไปพักที่เบตง แอดคงเลือกนอนพักที่นี่สักคืนหนึ่งแน่ ๆ สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง  : หมู่บ้านปิยะมิตร 2 หมู่ 2 ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา  : ทุกวัน เวลา 07:00 – 17:00 น.  : 09 5438 8153  : https://goo.gl/maps/x2pBvBwBXgC5BUNM6 หลังจากชื่นชมและถ่ายรูปดอกไม้จนจุใจแล้ว แอดมุ่งหน้าต่อไปที่ตัวเมืองเบตง ใช้เวลาขับรถราวครึ่งชั่วโมง ไปถึงก็เป็นช่วงเย็นพอดี กิจกรรมฮอตฮิตของที่นี่ก็คือ การเดินเล่นในเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักนี่แหละ ส่วนมื้อเย็น เพื่อน ๆ สามารถเลือกรับประทานอาหารในร้านอาหารที่ส่วนมากจะเป็นร้านเล็ก ๆ สไตล์จีน ๆ หรือจะเดินตะลุยตรอกซอกซอย ที่มี Street Food ขายอยู่ก็ได้ฟีลสนุกไปอีกแบบ เดินเล่นดูเมืองทั้งที ก็ต้องมาแวะถ่ายรูปที่หอนาฬิกาเบตง แลนด์มาร์คของที่นี่สักหน่อย หอนาฬิกานี้สร้างด้วยหินอ่อนจากจังหวัดยะลา หากเพื่อน ๆ ไปเที่ยวช่วงเดือนกันยายนถึงมีนาคม จะเจอนกนางแอ่นหลายร้อยตัวเกาะสายไฟบริเวณนี้แน่นขนัดเลยล่ะ คนที่นี่บอกแอดมาว่า หากเดินอยู่แถวนี้แล้วโดนนกนางแอ่นอึใส่ จะได้กลับมาที่นี่อีกในเวลาไม่นาน แต่แอดว่า

✨ เที่ยวเบตง ชมหมอกอัยเยอร์เวง 2 วัน 1 คืน ✨ อ่านเพิ่มเติม

หมอกขาวที่ด้ามขวาน

ฆูนุงซีลีปัต เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอยต่อของตำบลอัยเยอร์เวงและตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มียอดสูง 607 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง อย่างที่แอดบอกไปแล้วว่า ที่นี่มีหมอกให้ชมได้เกือบทุกวันตลอดทั้งปี เพราะพื้นที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าฝนดิบชื้น จึงทำให้เกิดหมอกได้ง่ายมากๆ นั่นเอง การเดินทางขึ้นไปยังฆูนุงซีลีปัต จะต้องนั่งรถโฟร์วีลหรือรถจี๊ปขึ้นไป จากนั้นต้องเดินเท้าต่อ สามารถขึ้นได้ 2 ทาง คือ เส้นทางที่ 1 ขึ้นทางฝั่ง ต.อัยเยอร์เวง : จุดขึ้นรถอยู่ที่ร้านอนาเซีย (ร้านอาหารอิสลาม) หมู่บ้าน กม.28 ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจชุมชนทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต (ดูแลโดย อบต.อัยเยอร์เวง) เส้นทางนี้จะต้องขึ้นตั้งแต่ตอนบ่าย เพื่อไปกางเต็นท์นอนด้านบน ซึ่งเพื่อนๆ ควรมาถึงจุดขึ้นรถก่อน 15.00 น. ทางขึ้นเขาเป็นทางค่อนข้างวิบาก มีดินโคลน บอกเลยว่าสายลุยต้องชอบแน่ๆ นั่งไปประมาณ 3 กิโลเมตร ก็ถึงจุดเริ่มเดินเท้า ซึ่งจะต้องเดินขึ้นเขาผ่านป่าสลับกับสวนยางและสวนทุเรียนของชาวบ้านอีก 2 กิโลเมตร ไปยังจุดกางเต็นท์ ซึ่งเป็นลานโล่งเล็กๆ ในสวนยาง ห่างจากยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวแค่ 200 เมตรเท่านั้น หากเราทำเวลาได้ดี ก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินและได้ภาพสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนด้วยค่ะ.ค่าใช้จ่าย (ราคารวมรถรับ-ส่ง+อาหาร 2 มื้อ+เต็นท์พร้อมหมอน (มีคนกางให้) พร้อมเจ้าหน้าที่นำทางที่คอยดูแลตลอดทริป)– ถ้ามามากกว่า 5 คน ราคาจะอยู่ที่คนละ 800 บาท– ถ้าน้อยกว่า 5 คน ราคาจะอยู่ที่คนละ 1,000 บาท.จองทริปหรือสอบถามข้อมูล โทร. 081 093 8549 (เฮง), 082 265 6900 (ซู)*ควรโทรจองทริปล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วันนะคะ* ที่ตั้ง : ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เส้นทางที่ 2 ขึ้นทางฝั่ง ต.ตาเนาะแมเราะ : จุดขึ้นรถอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) ใกล้กับด่านความปลอดภัย หมู่บ้าน กม.23 ดำเนินการโดยชาวบ้านเจ้าของสวนยางที่อยู่ใกล้ๆ จุดชมวิว เส้นทางนี้สามารถขึ้นตอนเช้ามืดได้ ไม่ต้องค้างคืน โดยรถจะพาขึ้นเขาทางฝั่ง ต.ตาเนาะแมเราะ ไปยังจุดเริ่มเดินเท้า จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 400 เมตร ก็จะถึงจุดกางเต็นท์บนเขา ที่ห่างจากจุดชมวิวเพียง 200 เมตรเช่นเดียวกับเส้นทางแรก ค่าใช้จ่าย : ค่ารถไป-กลับ คันละ 1,000-1,500 บาท (นั่งได้ 10 คน/คัน).จองทริปหรือสอบถามข้อมูล โทร. 089 595 6642, 093 615 6998*ควรโทรจองทริปล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วันนะคะ* **บริเวณจุดกางเต็นท์มีห้องน้ำให้บริการ 2 ห้อง แต่ไม่สามารถอาบน้ำได้เพราะน้ำมีน้อย และควรเตรียมไฟฉาย รวมทั้งยากันยุงไปด้วยนะคะ**  แอดเดินทางโดยใช้เส้นทางแรก ขึ้นไปค้างคืนด้านบน ตอนเช้าก็ตื่นมาชิลๆ 05.30 น. เดินไปจุดชมวิวใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้นเอง ที่นี่เพื่อนๆ สามารถดื่มด่ำบรรยากาศของไอหมอกและอ้อมกอดของภูเขาได้อย่างหนำใจ ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นก็มาโบกสะบัดธงชาติไทย ถ่ายรูปกันเก่ๆ  ยิ่งเวลาผ่านไป ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็ยิ่งเผยออกมาให้เห็น ราวกับทะเลหมอกกำลังหยอกเล่นกับภูเขาอยู่ตรงหน้าเราเลยล่ะ บางจังหวะธรรมชาติที่ได้เห็นตรงหน้าก็สวยจนแอดคิดว่า การถ่ายภาพคงเก็บความสวยงามแบบนี้ไว้ได้ไม่หมด เราต้องมาสัมผัสและเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ.ประมาณ 08.30 น. ก็ได้เวลาบอกลาทะเลหมอก และเตรียมตัวกลับบ้านแล้ว ถ้าเพื่อนๆ มีโอกาส ต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองดูสักครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าความสวยงามสุดยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ จะซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ ของด้ามขวานไทยได้อย่างแนบเนียนขนาดนี้ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 12 กันยายน 2562

หมอกขาวที่ด้ามขวาน อ่านเพิ่มเติม

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง . ลมหนาวใกล้เข้ามาแล้ว กิจกรรมสุดฮิตในช่วงฤดูหนาวแบบนี้คงหนีไม่พ้นการไปดื่มด่ำธรรมชาติบนยอดดอย ชมทะเลหมอก และเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าอย่างใจจดใจจ่อ . วันนี้แอดมี 5 พิกัดชมหมอกยามเช้ามาแนะนำ เอาไว้เป็นไอเดียสำหรับการวางแผนท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวที่จะถึงนี้ค่ะ 1. จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จังหวัดยะลา2. จุดชมวิวดอยกิ่วลม จังหวัดเชียงใหม่3. เขาหลวง จังหวัดสุโขทัย4. สวนยาหลวง บ้านสันเจริญ จังหวัดน่าน5. ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จังหวัดยะลา เป็นจุดชมวิวยอดฮิตของอำเภอเบตง อยู่ในพื้นที่ของเขาไมโครเวฟ ที่นี่สามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปี เพราะถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ และมีแม่น้ำปัตตานีไหลผ่าน นอกจากทะเลหมอกแล้ว เราจะได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามของเขาไมโครเวฟด้วย จุดชมวิวทะเลหมอกมี 2 จุด ได้แก่ จุดชมวิว กม. 32 เป็นจุดที่มองเห็นทะเลหมอกได้ชัดที่สุด ถ้าเพื่อน ๆ จะขึ้นมาชมทะเลหมอกที่จุดนี้ ต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ แล้วเดินขึ้นมาประมาณ 500 เมตร ถ้าเดินไม่ไหว สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นมาได้ ค่ารถคนละ 20 บาท ตอนนี้มีสกายวอล์คเปิดให้บริการแล้ว ใครอยากสัมผัสหมอกกันแบบใกล้ชิด ต้องห้ามพลาดจุดนี้เลยค่ะ.จุดชมวิวอีกจุดหนึ่งอยู่ถัดลงมาจากจุดแรก อยู่ใกล้โซนร้านอาหาร เป็นลานระเบียงกว้างขวาง จุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนำรถมาจอดได้.ที่ตั้ง: ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลาพิกัด: https://goo.gl/maps/Ljk4R7YUKT5v8xTQ7  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลอัยเยอร์เวง 0 7328 5111 จุดชมวิวดอยกิ่วลม จังหวัดเชียงใหม่ จุดชมวิวดอยกิ่วลมตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง นักท่องเที่ยวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกท่ามกลางภูเขาที่สลับซับซ้อนสวยงาม รวมทั้งยังสามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาว ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยได้อีกด้วย นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด.ภายในอุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น จุดชมวิวดอยช้าง สวนดอกไม้หลากสี น้ำพุร้อนโป่งเดือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบ้านพักและลานกางเต็นท์ให้บริการ โดยเปิดให้กางเต็นท์ค้างแรมในเดือนตุลาคม-เมษายน ของทุกปี .อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่พิกัด: https://goo.gl/maps/rm3K7hn6samaCMVb8โทร. 0 5324 8491, 08 4908 1531 เขาหลวง จังหวัดสุโขทัย เขาหลวง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติรามคำแหง มีความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,200 เมตร บนยอดเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามและปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าธรรมชาติ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี บนยอดเขาสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก และทะเลหมอกได้ เพื่อน ๆ สามารถเดินเท้าขึ้นไปพิชิตยอดเขาหลวงได้ ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินขึ้นไปบนยอดเขาราว 4 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าใครอยากพิชิตยอดเขาหลวง เตรียมร่างกาย เตรียมน้ำและเสบียงไปให้พร้อมนะคะ.อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัยพิกัด: https://goo.gl/maps/KNJeNQWvwQ5XcaFE6โทร. 09 8883 9297 สวนยาหลวง บ้านสันเจริญ จังหวัดน่าน หมู่บ้านสันเจริญเคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ก่อนจะเปลี่ยนมาปลูกกาแฟเป็นอาชีพหลัก จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน จากบ้านสันเจริญ เราสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกได้บนยอดดอยสวนยาหลวง ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีลักษณะเป็นเนินภูเขาหญ้า สามารถมองเห็นทัศนียภาพของภูเขาได้สุดสายตา 360 องศา นอกจากนี้ดอยสวนยาหลวงยังเป็นแนวสันเขาที่เป็นรอยต่อระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กับอำเภอปง จังหวัดพะเยา เรียกว่ามาที่เดียวได้ชมวิว 2 จังหวัดเลยค่ะ การขึ้นไปชมวิวบนยอดดอยสวนยาหลวง ต้องนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากหมู่บ้านสันเจริญขึ้นไป เส้นทางเป็นถนนลูกรังและค่อนข้างชัน ตลอดเส้นทางจะได้เห็นความสวยงามของไร่กาแฟที่ปลูกกระจายอยู่ทั่วหุบเขา ยิ่งในช่วงเช้า บรรยากาศจะยิ่งสวยงามแปลกตา เพราะจะมีสายหมอกจาง ๆ ปกคลุมไร่กาแฟ ระหว่างทางจากบ้านสันเจริญไปยังยอดดอยสวนยาหลวงมีที่พักรองรับนักท่องเที่ยว เรียกว่า coffee farm stay เป็นที่พักเรียบง่ายกลางไร่กาแฟ ใครอยากตื่นมาจิบกาแฟพร้อมชมวิวไร่กาแฟยามเช้า ต้องไปพักที่นี่เลยค่ะ.ที่ตั้ง : ต.ผาทอง อ.ท่าวังผา จ.น่านพิกัด https://goo.gl/maps/Ljk4R7YUKT5v8xTQ7กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์ดอยสวนยาหลวง บ้านสันเจริญ โทร. 08 6390 7737 ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย เป็นจุดชมวิวบนเขาสูง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นกลางลำน้ำโขงและแนวเขาสลับซับซ้อนในเขตประเทศลาวได้ ถ้าอยากเห็นหมอกแบบแน่น ๆ แอดแนะนำให้มาชมในช่วงฤดูหนาวค่ะ การเดินทางขึ้นไปที่ภูห้วยอีสันไม่สามารถใช้รถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปได้ เพราะว่าทางขึ้นสูงและชันมาก เพื่อน ๆ สามารถใช้บริการรถอีแต๊กได้ โดยจุดบริการรถอีแต๊กจะอยู่ที่อบต.บ้านม่วง ค่าบริการคนละ 60 บาท (ไป-กลับ) ในการชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก แนะนำให้มาขึ้นรถอีแต๊กเวลาประมาณ 05.00 น. เพราะระยะทางจากจุดขึ้นรถไปถึงภูห้วยอีสัน ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที.ที่ตั้ง: ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคายพิกัด: https://goo.gl/maps/JvNbFTfrWd8nK2pp8เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.00 น.โทร. 0 4241 4871, 09 6068 2362, 08 7219 5500 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 4 ธันวาคม 2563

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง อ่านเพิ่มเติม

Feel fresh with DAM – 7 เขื่อนต้องไปเยือน

Feel fresh with DAM – 7 เขื่อนต้องไปเยือน เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนภูมิพล เดิมชื่อเขื่อนยันฮี ตั้งอยู่ที่ อ.สามเงา เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกที่สร้างด้วยคอนกรีตรูปโค้งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ สร้างกั้นลำน้ำปิงที่บริเวณเขาแก้วเพื่อผลิตไฟฟ้าและใช้ในการชลประทาน นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 463-464 ให้เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไป 17 กิโลเมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเขื่อนภูมิพล โทร. 055 549 509 ต่อ 4002, 4003พิกัด : https://goo.gl/maps/vwED7Z9a8Tv เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี  เขื่อนวชิราลงกรณ เดิมชื่อเขื่อนเขาแหลม ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าขนุน เป็นเขื่อนหินทิ้งดาดหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างกั้นลำน้ำแควน้อย เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำอเนกประสงค์ สามารถนั่งเรือหรือล่องแพชมทิวทัศน์ที่สวยงามบริเวณเหนือเขื่อนได้ การเดินทางจากตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ) ถึง อ.ทองผาภูมิ และจาก อ.ทองผาภุูมิไปยังเขื่อนอีก 20 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอำเภอทองผาภูมิ (บริการบ้านพักและเรือเช่า)โทร. 034 599 077 ต่อ 2502, 2506การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโทร. 02 436 6046-8พิกัด : https://goo.gl/maps/UDGWBvYrGrw เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี เขื่อนป่าสักฯ ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งเสือเต้น ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีจุดชมวิวบริเวณสันเขื่อนและพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสักให้ได้ชมกันด้วย  สำหรับผู้ที่อยากชมทัศนียภาพรอบเขื่อน ที่นี่ก็มีบริการรถรางด้วย โดยจะแล่นไปตามสันเขื่อน ใช้เวลาไป-กลับประมาณรอบละ 50 นาที เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.ค่าบริการ ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท  การเดินทางโดยรถยนต์– จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่าน จ.สระบุรี จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) เข้าสู่ จ.ลพบุรี ระยะทางประมาณ 21 กม. แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3017 ไปทาง อ.พัฒนานิคม อีกประมาณ 16 กิโลเมตร – จากตัวเมืองลพบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3017 (ลพบุรี-โคกตูม-พัฒนานิคม) ระยะทาง 48 กิโลเมตร  โดยรถโดยสารประจำทางมีรถสองแถว สายลพบุรี-วังม่วง ผ่านหน้าเขื่อนป่าสักสิทธิ์รถออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารลพบุรี ตั้งแต่เวลา 06.00 – 17.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทร. 036 494 243, 036 494 291-2พิกัด : https://goo.gl/maps/Dshp9j15v6x เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี เขื่อนสิรินธร หรือที่เรียกกันว่าเขื่อนโดมน้อย เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว สร้างกั้นลำน้ำโดมน้อยซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำมูล เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและการชลประทาน  บริเวณเขื่อนประกอบด้วย สวนพฤกษศาสตร์ สวนน้ำพุ ศาลาพักผ่อนริมทะเลสาบ เย็นสบายแน่นอน แอดคอนเฟิร์ม ^^  หากอยากพักค้างคืนทางเขื่อนก็มีบริการบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว และยังมีบริการล่องเรือชมอ่างเก็บน้ำด้วย โดยสามารถติดต่อล่วงหน้าได้ การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 24 ออกจากตัวเมืองอุบลราชธานี (ด้านสะพานเสรีประชาธิปไตย) มุ่งไปทาง อ.วารินชำราบ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 217 จนถึง อ.สิรินธร เลี้ยวขวาที่กิโลเมตร 71 ประมาณ 500 เมตร เขื่อนจะอยู่ห่างจากตัวเมือง 70 กิโลเมตร  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเขื่อนสิรินธร โทร. 045 366 081-3 ต่อ 2708 บริการบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยวโทร. 089 280 3197, 045 366 085 พิกัด : https://goo.gl/maps/RZSo8xCsVbR2 เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์  ตั้งอยู่ที่ ต.ลำปาว มีพื้นที่ครอบคลุม อ.เมือง อ.หนองบัว อ.หนองกุงศรี และ อ.ยางตลาด เป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยและใช้ประโยชน์ทางการเกษตร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาอีกด้วย นอกจากชมเที่ยวชมเขื่อนแล้ว บริเวณเขื่อนลำปาวยังมี หาดดอกเกด ซึ่งเป็นหาดเนินดิน เป็นที่พักผ่อนชมวิว รับลมเย็นริมสันเขื่อน และอีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดสุดฮิต คือ สะพานเทพสุดา สะพานข้ามเขื่อนลำปาวที่ต้องมาชมพร้อมเก็บภาพความสวยงามของสะพานแบบ 360 องศาเลยล่ะ  การเดินทางจาก อ.เมืองกาฬสินธุ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าไปทาง จ.มหาสารคาม จนถึงกิโลเมตรที่ 33-34 ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมาย 2416 ไปอีกประมาณ 26 กิโลเมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหัวหน้างานจัดสรรน้ำ เขื่อนลำปาว โทร. 081 827 7717 บ้านพักรับรองเขื่อนลำปาว จัดประชุม สัมมนา โทร. 081 051 3426พิกัด : https://goo.gl/maps/yzTq9qeFXBJ2 เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี เขื่อนรัชชประภา เดิมชื่อเขื่อนเชี่ยวหลาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งรัชกาล” ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หมู่ที่ 3 ต.เขาพัง อ.บ้านตาขุน พื้นที่เกือบทั้งหมดของเขื่อนอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาสก  เขื่อนรัชชประภาเป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวอเนกประสงค์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาก เพราะโดดเด่นในเรื่องของทัศนียภาพที่มีภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาสวยงามโผล่พ้นน้ำขึ้นมามากมาย บริเวณโดยรอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น  การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 401 แยกเข้าสู่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาสก 2

Feel fresh with DAM – 7 เขื่อนต้องไปเยือน อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top