ยโสธร

ยโสธร

ตำนานบุญบั้งไฟ วิมานพญาแถน : ยโสธร

ชวนไปเที่ยววิมานพญาแถน จังหวัดยโสธร และงานประเพณีบุญบั้งไฟ หรืองานบุญเดือนหกตามขนบธรรมเนียม ฮีต 12 คอง 14 ของผู้คนชาวอีสานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน ตำนานโบราณเล่าถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง “พญาแถน” เทพเจ้าแห่งฝน และ “พญาคันคาก” หรือพญาคางคก เริ่มต้นจากการที่พญาแถนรู้สึกโกรธเคืองโลกมนุษย์ด้วยสาเหตุบางประการ จึงไม่ยอมให้ฝนตกยาวนานถึง 7 เดือน จนเกิดความแห้งแล้ง ยากลำบากไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าสรรพสัตว์จึงร่วมกันหาวิธีต่อสู้กับพญาแถน แต่ทั้งพญานาคีและพญาต่อแตนที่อาสาไปสู้รบกับพญาแถนต่างก็ประสบความพ่ายแพ้กลับมา ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของสรรพสัตว์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายพญาคันคากจึงอาสานำกองทัพไปต่อสู้กับพญาแถนและได้รับชัยชนะเหนือพญาแถน จึงเกิดเป็นสัญญา 3 ประการที่พญาแถนต้องปฏิบัติตามคือ1.เมื่อไหร่ที่มนุษย์ยิงบั้งไฟขึ้นฟ้า ให้พญาแถนบันดาลให้ฝนตกลงมาทันที 2.ถ้าได้ยินเสียงกบเขียดร้อง นั่นแสดงว่าฝนได้ตกลงสู่โลกมนุษย์แล้ว 3.หากได้ยินเสียงของสะนู (อุปกรณ์ที่สามารถส่งเสียงได้จากแรงลม) ที่ติดกับว่าว แสดงว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผล ขอให้ฝนหยุดตก ซึ่งพญาแถนก็ได้ปฏิบัติตามสัญญาเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบัน และบั้งไฟก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการขอฝนและเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีบุญบั้งไฟ นั่นคือตำนานที่ชาวอีสานเล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และหากใครอยากเดินทางตามรอยตำนานเรื่องนี้ ขอแนะนำให้เดินทางไปที่ “วิมานพญาแถน” จังหวัดยโสธร กลุ่มสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นโดยนำแรงบันดาลใจจากตัวละครในเรื่อง ทั้งพญาคันคาก และพญานาคมาสร้างเป็นอาคารนิทรรศการขนาดใหญ่จนกลายมาเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดยโสธร ภายในจัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของจังหวัดยโสธร รวมถึงประเพณีบุญบั้งไฟ และมีจุดชมวิวมุมสูงให้ได้ชมกันอีกด้วย และหากใครมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดยโสธรในช่วงวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2566 ก็นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตรงกับงาน “ประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร” ประจำปี 2566 มีกิจกรรมมากมายทั้งการประกวดกองเชียร์บั้งไฟ ชมการประกวดสาวงามธิดาบั้งไฟโก้ และการแสดงโชว์ แสง สี เสียง บริเวณถนนแจ้งสนิท โดยในวันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2566 จะมีขบวนแห่บั้งไฟสวยงามที่สนุกสนานตามแบบฉบับของชาวอีสาน และในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานจะเป็นการจุดบั้งไฟแสนขึ้นสูง และบั้งไฟแฟนซีติดร่มที่แต่ละหมู่บ้านนำมาแข่งขันกัน

ตำนานบุญบั้งไฟ วิมานพญาแถน : ยโสธร อ่านเพิ่มเติม

✨ แนะนำเทศกาลเดือนมีนาคม ✨

เดือนที่ 3 ของปี เริ่มก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว หลายคนคงมีแผนเดินทางไปเที่ยวทะเล น้ำตก เพื่อเล่นน้ำคลายร้อน หรือขึ้นเขาเพื่อมองหาความสดชื่นของสีเขียวจากยอดดอย แต่นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มอบความเย็นทางใจให้แล้ว เดือนมีนาคมก็เป็นช่วงเวลาที่มีเทศกาลพิเศษและสนุก ๆ ถูกจัดขึ้นเหมือนกัน… เอาล่ะ หากใครกำลังมองหาเทศกาลประเพณีพิเศษ ๆ ที่จัดขึ้นเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม นอกเหนือจากการเที่ยวตามธรรมชาติล่ะก็ ลองตามมาอ่านคอนเทนต์นี้ดู ว่า 5 เทศกาลเดือนมีนาคมที่นำมาแนะนำวันนี้ จะมีที่ไหนบ้าง 1.ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก จ.ยโสธร เป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชุมชนบ้านฟ้าหยาด จ.ยโสธร เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ได้เห็นถึงความสำคัญของข้าว จึงคัดข้าวเปลือกที่ดีที่สุดมาคั่วเป็นข้าวตอก แล้วนำมาร้อยเป็นมาลัยสายยาวแทน “ดอกมณฑารพ” ดอกไม้ทิพย์บนสวรรค์ ที่เชื่อว่ามีความสวยงามและมีกลิ่นหอม ซึ่งจะหล่นลงมาบนโลกในเหตุการณ์สำคัญ เช่นครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ดอกมณฑารพก็ร่วงหล่นลงมาบนโลกทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเสมือนการแสดงความเสียใจในเหตุการณ์นี้ เหล่าพระภิกษุ ข้าราชการบริพารและประชาชนทั้งหลาย จึงพากันเก็บมาสักการะพระบรมศพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการรำลึกเหตุการณ์นี้ ชาวบ้านฟ้าหยาด จึงประดิษฐ์และจัดงานแห่มาลัยข้าวตอกขึ้นก่อนวันมาฆบูชา ปัจจุบันจะมีการจัดงาน 5 วัน มีการแห่เป็นขบวนรอบตัวอำเภอ ก่อนจะนำไปถวายที่วัดหอก่อง ซึ่งภายในวัดมี พิพิธภัณฑ์มาลัยข้าวตอก เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชมความงามหลังจากแห่ขบวนได้ ในปี พ.ศ. 2566 ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 มีนาคม ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอมหาชนะชัย ใครที่สนใจสามารถไปชม ชิม ชอปปิง สินค้าโอทอป ของกิน ของฝาก ที่ถนนคนเดินของงานได้เลย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานอุบลราชธานี (ดูแลพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร และ จ.อำนาจเจริญ) โทร. 0 4524 3770 2.งานพระนครคีรี-เมืองเพชร อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จ.เพชรบุรี งานต่อมาที่อยากแนะนำ ก็คือ งานพระนครคีรี-เมืองเพชร ซึ่งในปี พ.ศ. 2566 จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “เยือนถิ่นเมืองพริบพรี สดุดีจอมราชัน แดนสร้างสรรค์อาหารไทย” เพื่อเทิดพระเกียรติบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า รัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 17 – 26 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) ภายในงาน จะมีการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีจากสกุลช่างเมืองเพชร รวมไปถึงกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ชมพลุบนเขาวัง ชิมอาหารพื้นบ้าน ขนมพื้นถิ่น สินค้าพื้นเมืองเพชรบุรี สินค้า OTOP รอต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มา ชม ชิม ชอปปิง และถ่ายรูปกันได้อย่างจุใจ : ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาทนักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้น หรือโดยสารรถรางไฟฟ้า ค่าบริการไป-กลับ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก (อายุไม่เกิน 12 ปี) 15 บาท : ถ.คีรีรัถยา ต.คลองกระแชง อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี: เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานเพชรบุรี โทร. 0 3247 1006 3. ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ตกตรง 15 ช่องประตู ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ อีกหนึ่งเทศกาลและงานประจำปีของปราสาทหินพนมรุ้ง ที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น-ตก ส่องลอดช่องประตูทั้ง 15 บานของปราสาทหินพนมรุ้ง ที่ในปีนี้ จะมีในช่วงวันที่ 5-7 มีนาคม พ.ศ. 2566 ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของปราสาทหินพนมรุ้ง หนึ่งในอารยธรรมโบราณ ที่สร้างจากหินทรายสีชมพูและศิลาแลง ในทุกปีจะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น-ตก ส่องลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน ของปราสาทหิน จำนวน 4 ครั้งต่อปี ซึ่งปีนี้มีรายละเอียดดังนี้ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น-ตก 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง– ครั้งที่ 1 พระอาทิตย์ตก วันที่ 5-7 มีนาคม เวลาประมาณ 18.15 น.– ครั้งที่ 2 พระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 3-5 เมษายน เวลาประมาณ 06.03 น.– ครั้งที่ 3 พระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 8-10 กันยายน เวลาประมาณ 05.57 น.– ครั้งที่ 4 พระอาทิตย์ตก วันที่ 5-7 ตุลาคม เวลาประมาณ 17.55 น. ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ปี พ.ศ. 2566 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มีนาคม – 2 เมษายน พ.ศ. 2566 ปราสาทหินพนมรุ้ง ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของ จ.บุรีรัมย์ ด้วยลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบขอมโบราณ ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยที่ประทับของพระศิวะ บนยอดเขาพนมรุ้ง โดยคำว่า “พนมรุ้ง” หรือ “วนํรุง” เป็นภาษาเขมรแปลว่า “ภูเขาอันกว้างใหญ่” ภายในมีการออกแบบที่ประณีต มีอาคารเรียงรายไปจนถึงปราสาทประธาน ทับหลังที่บอกเล่าเรืองราวของวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของฮินดู อย่างเรื่องรามเกียรติ์

✨ แนะนำเทศกาลเดือนมีนาคม ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ วิมานพญาแถน จ.ยโสธร ✨

หากพูดถึงเทศกาลบุญบั้งไฟแล้ว จ.ยโสธร นับเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้ แต่นอกจากบั้งไฟแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่แอดอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองมาเที่ยว นั่นก็คือ “วิมานพญาแถน” ในบริเวณพิพิธภัณฑ์คันคาก มีบริการรถรางชมเมืองฟรี ทุกวันศุกร์-วันอาทิตย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที โดยจะแวะจอด 5 สถานีด้วยกัน คือ สถานีวิมานพญาแถน สถานีวัดมหาธาตุ สถานีบ้านสิงห์ท่า สถานีบุ่งน้อยบุ่งใหญ่ และสถานีวัดศรีธรรมาราม โดยมีตารางเดินรถดังนี้ เที่ยวที่ 1 เวลา 09.30 น. – 10.50 น. ที่ยวที่ 2 เวลา 14.00 น. – 15.20 น. เที่ยวที่ 3 เวลา 16.00 น. – 17.20 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เทศบาลเมืองยโสธร โทรศัพท์สายด่วน 1132 ก่อนอื่นแอดขอเล่าถึงความเชื่อเรื่องพญาแถนให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันก่อน ชาวยโสธรเรียกเทวดาว่า พญาแถน ซึ่งสามารถบันดาลฟ้าฝนได้หากมนุษย์ทำให้พญาแถนพอใจ จึงเกิดเป็นพิธีบูชาพญาแถนโดยการใช้บั้งไฟ เพื่อแสดงความเคารพ และเป็นการขอฝนจากพญาแถน นี่เองที่เป็นที่มาของเทศกาลบุญบั้งไฟ จากเรื่องเล่านี้ ทาง จ.ยโสธรจึงมีการสร้าง “วิมานพญาแถน” ขึ้นบริเวณอ่างเก็บน้ำลำทวน เพื่อใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หากนึกภาพไม่ออก ให้เพื่อน ๆ นึกถึงสวนสาธารณะที่มีแหล่งให้ความรู้อยู่ด้วยนั่นเอง จุดเด่นของที่นี่ก็คือ อาคารพญาคันคาก ที่สร้างขึ้นเป็นรูปร่างพญาคันคาก(คางคก) สูง 19 เมตร ภายในอาคารเป็นแหล่งความรู้ มีการจัดฉายภาพยนตร์ 4 มิติ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของบั้งไฟ มีการให้ความรู้เรื่องคางคกชนิดต่าง ๆ ที่พบได้ในเมืองไทย นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมของดีทางด้านเกษตรกรรม และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเมืองยโสธรเอาไว้ โดยอาคารนี้มี 5 ชั้น ชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิว นอกจากนี้ ทางด้านทิศเหนือของพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก จะเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์พญานาค ภายในแบ่งเป็น 5 โซน บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคและงูใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งความรู้ในแง่ชีววิทยา วิวัฒนาการ และความเป็นอยู่ของงู มีส่วนของการจัดแสดงให้ความรู้ในรูปแบบถ้ำในเมืองบาดาล เล่าถึงตำนานการเกิดแม่น้ำโขงโดยพญานาค ฯลฯ บริเวณสวนสาธารณะโดยรอบ มีลมพัดเอื่อย ๆ ยิ่งตอนเย็นอากาศยิ่งดี เหมาะสำหรับมาเดินเล่น พักผ่อนหรือวิ่งออกกำลัง หากมีโอกาสได้แวะไป จ.ยโสธร ก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมที่นี่นะ  : ถนนมงคลบูรพา ต.ในเมือง อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร 35000  : บริเวณสวนสาธารณะ เปิดทุกวันตลอดเวลา อาคารพิพิธภัณฑ์ เปิดวันพุธ-วันจันทร์ (ปิดวันอังคาร ยกเว้นตรงกับวันหยุดราชการ) วันธรรมดา 09.00-12.00 น. / 15.00-18.00 น. วันหยุดราชการ 09.00-12.00 น. / 13.00-19.00 น  : บริเวณด้านนอกไม่เสียค่าเข้าชม, ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท  : 0 4575 6710

✨ วิมานพญาแถน จ.ยโสธร ✨ อ่านเพิ่มเติม

ยโสธรการเกษตร

คนยโสธรเป็นสายกรีนมาแต่กำเนิด พวกเขายึดถือการทำนาข้าวเป็นอาชีพเลี้ยงตัวมาแต่เก่าก่อน ผูกพันกับชีวิตชนิดแยกกันไม่ขาด ที่สำคัญคือต่อยอดเป็นเมืองเกษตรอินทรีย์มาสักพักใหญ่แล้ว จากความร่วมมือของชาวนาชาวไร่ที่ผันตัวมาใช่วิธีดูแลพืชพรรณให้ปลอดภัยทั้งกับตัวเองและผู้บริโภค ขณะเดียวกันทางจังหวัดก็ส่งเสริมเต็มที่ เกิดเป็นตราบั้งไฟหลากสี แบ่งตามมาตรฐานอินทรีย์แต่ละขั้น เพื่อช่วยรับรองผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง ร่วมกับ The Cloud นำเสนอคอลัมน์ Take Me Out เที่ยวบ้านเพื่อนทริปนี้ เอาใจคนรักสุขภาพ พาไปเที่ยว 10 พื้นที่สีเขียววิถีเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ลองดำนาปลูกข้าวหอมมะลิ เช็กอินที่นาบัวหวาน ฟาร์มปศุสัตว์หลากหลายแนว และคาเฟ่ออร์แกนิกสุดชิลล์มองวิวทุ่งนาและกินของดี เมื่อได้พูดคุยกับพี่น้องเกษตรกรชาวยโสฯ พบว่าพวกเขาช่วยกันขับเคลื่อนสังคมเกษตรอินทรีย์กันอย่างคึกคัก สร้างช่องทางส่งขายอย่างเป็นระบบ รวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายมากมายในพื้นที่ ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการปลูกพืชและปศุสัตว์ ทั้งยังมีตลาดให้จำหน่ายผลิตผลแทบทุกอำเภอ สับเปลี่ยนสถานที่ เวียนวันกันไปไม่ซ้ำในแต่ละอาทิตย์ คอลัมน์นี้จะพาไปสัมผัสสารพัดพื้นที่สีเขียวปลอดสารพิษของชาวยโสฯ สายกรีน มาดูกันว่ามีที่ไหนให้คนรักสุขภาพได้ปักหมุดท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและรื่นรมย์กันในเที่ยวบ้านเพื่อนรอบนี้ 1 บัวหวานยโสธร นาบัวอินทรีย์ที่รักษาความหวานกรอบเหมือนเพิ่งเก็บจากบึง จากอาชีพทำนาข้าวและแม่ค้ารับบัวมาขายตามตลาด จันทร์-ธนพร จันทร์หอม ผันตัวเริ่มทำนาบัวด้วยตัวเองเพราะความหลงใหลในรสชาติ เลือกแนวทางอินทรีย์ในการปลูก โดยมีเหตุผลเพียงไม่อยากทำร้ายสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นเม็ดบัวที่มีคุณภาพดีตามไปด้วย เพราะระบบนิเวศสมบูรณ์ ทำให้เหล่าผึ้งและชันโรงที่อยู่กันอย่างสบายใจก็เป็นลูกมือช่วยผสมเกสร จึงได้หน้าบัวที่เต็ม กลมสวยไม่เว้าแหว่ง และขายได้ราคาดี เมื่อผลตอบรับดีจนไม่พอขาย จันทร์จึงเพิ่มบ่อบัวให้มากขึ้น วางแผนปลูกแต่ละบ่อให้บานไล่เลี่ยกันจะได้มีผลผลิตเก็บเกี่ยวทั้งปี นอกจากประคบประหงมด้วยความใส่ใจ บำรุงด้วยน้ำหมักสูตรพิเศษ และดูแลอย่างไร้สารเคมีแล้ว เคล็ดไม่ลับอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย คือการแช่น้ำแข็งทันทีตั้งแต่เก็บขึ้นจากบ่อ ทำให้หวานกรอบจนถึงมือลูกค้า และนอกจากเม็ดบัวสดที่คนนิยมกิน จันทร์มีเมนูแนะนำด้วย นั่นคือ ส้มตำเม็ดบัว อีกทางเลือกที่แซ่บหลายใช้ได้ไม่แพ้กัน หากสนใจอยากมาพิสูจน์ความหวาน เข้ามาอุดหนุนได้ทุกเมื่อ หรือถ้าอยากมาเที่ยวถ่ายรูปกับดอกบัวสีขาวเต็มบ่อ ลองติดต่อมาถามจันทร์ล่วงหน้าได้ว่าดอกบัวเริ่มบานแล้วหรือยัง จะได้มาแล้วไม่เสียเที่ยว ที่ตั้ง : ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร 35000 พิกัด : https://goo.gl/maps/m5QvKdZaf4s8jLXE8 วัน-เวลาทำการ : ติดต่อนัดหมายล่วงหน้า โทรศัพท์ : 06 2990 1395 Facebook : บัวอินทรีย์ บัวหวานยโสธร 2 บ้านไร่รุ้งตะวัน ฟาร์มเมล่อนญี่ปุ่น นาข้าวอินทรีย์ และคาเฟ่กลางทุ่งนา เอก-ธนิสร จิตตะมา ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านไร่รุ้งตะวัน กลับมาอำเภอเลิงนกทาบ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากทำงานในกรุงเทพฯ กว่า 20 ปี เขาเล็งเห็นว่าตำบลที่อาศัยอยู่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ สถานที่ท่องเที่ยวก็พอมีอยู่บ้าง น่าจะต่อยอดที่ดิน 20 กว่าไร่ของตนให้มีประโยชน์มากกว่าการปลูกข้าว หลังจากหาข้อมูลอยู่นานว่าจะปลูกพืชอะไร เอกก็พบว่าเมล่อนญี่ปุ่นเป็นพืชที่น่าสนใจ ปลูกได้ง่ายทั่วประเทศ เจริญเติบโตไวเพียง 3 เดือนก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมถึงมีมูลค่าในท้องตลาดสูง จากคนไม่มีความรู้เรื่องเกษตร เขาทำการบ้านอย่างจริงจัง ลองผิดลองถูก หาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตและเข้าอบรมตามที่ต่าง ๆ ลองปลูกทั้งสายพันธุ์ราคาแพงและถูกเพื่อเปรียบเทียบ ก่อนพบว่าคุณภาพต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งรูปร่างของลูกและรสชาติ เขาเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุด แม้ราคาสูงแต่ใครได้ลองลิ้มก็ติดใจ บางครั้งต้องรีบจองไว้ก่อนก็มี แถมเอกยังมองการณ์ไกลแชร์พื้นที่นาที่ไม่ได้ใช้ให้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน โดยเขาช่วยจัดการ ให้คำปรึกษา และควบคุมวิธีการทำให้เป็นอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะรวบรวมผลผลิตไปจำหน่ายให้ ภายใต้แบรนด์บ้านไร่รุ้งตะวัน ที่มีสารพัดใบรับรองอินทรีย์ทั้งภายในจังหวัดและเกรดส่งออกเป็นเครื่องการันตี หลังจากทำมาพักใหญ่ เพิ่มนู่นเติมนี่ในพื้นที่จนทุกอย่างเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าเดิม เขาแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นคาเฟ่เล็กกลางท้องทุ่ง นอกจากจะมีเมล่อนคุณภาพดีรสชาติหวานไว้ชูโรง ยังมีไอศกรีมข้าวเม่าอินทรีย์ที่อยากให้ลอง รวมถึงเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่เอกอยากชวนให้นั่งลงมองนาข้าว พักเหนื่อยสักประเดี๋ยว แล้วค่อยออกเดินทางไปเที่ยวต่อ ที่ตั้ง : 203 หมู่ 5 ตำบลบุ่งค้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร 35120 พิกัด : https://goo.gl/maps/NhFqJ8bJ3iPN8ejg7 วัน-เวลาทำการ : เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00 – 20.00 น. โทรศัพท์ : 09 8232 8961 Facebook : บ้านไร่รุ้งตะวัน Baan Rai Rung Tawan 3 ดอกกระเจียวหวานอินทรีย์ บ้านโคกนาโก ฟาร์มดอกกระเจียวหวาน อีกสัญลักษณ์ใหม่ของเมืองบั้งไฟ หลายคนรู้จักดอกกระเจียวในฐานะพืชดอกสวยงามที่จะบานเต็มทุ่งในช่วงฤดูฝน แต่สำหรับชาวบ้านโคกนาโก อำเภอป่าติ้ว กลับให้นิยามต่างออกไป เพราะดอกกระเจียวคือพืชเศรษฐกิจที่นำเม็ดเงินเข้าสู่หมู่บ้านตลอดปี “เราผลักดันจนเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด เดี๋ยวนี้พูดถึงยโสธร คนไม่นึกถึงบุญบั้งไฟแล้ว นึกถึงดอกกระเจียว” โบ้-เมืองชัย ทองลา เล่าด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ก่อนชวนเราย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนบัณฑิตด้านเกษตรตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่เดินทางสายงานประจำ แต่อยากมาทำสวนเกษตรตามความถนัดที่บ้านเกิด วันนั้นเขามองเห็นอรรถประโยชน์หลายอย่างของดอกกระเจียว พืชท้องถิ่นคู่วิถีชีวิตลูกอีสานมาตั้งแต่เด็ก จึงลองหยิบเอาพันธุ์จากป่ามาสู่เมือง นำมาปรับเข้ากับวิธีการสมัยใหม่ที่ได้เล่าเรียนมา ปลูกบนโคกควบคู่ไปกับนาข้าว วันนี้เขายังคงดูแลแบบปลอดสารเหมือนเดิม บำรุงด้วยปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก ใช้ฟางข้าวมาคลุมดินเพื่อจัดการวัชพืช ทำให้ไม่ต้องพึ่งยาฆ่าหญ้า ด้วยความตั้งใจอยากควบคุมระบบการปลูกแบบอินทรีย์ จึงได้ผลผลิตออกมาดีและปลอดภัย เป็นที่สนใจของชาวบ้านทั้งในและนอกพื้นที่ ถึงขั้นซื้อพันธุ์และขอคำแนะนำลงใต้ไปปลูกถึงอำเภอเบตงเลยก็มี โบ้ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ดอกกระเจียวมีหลายพันธุ์ รสชาติแตกต่างกันออกไป ทั้งเผ็ดซ่าคล้ายหน่อข่าจนถึงหวานกรอบอร่อยกินง่าย สำหรับฟาร์มของโบ้เลือกปลูกพันธุ์อย่างหลัง หากใครถูกใจรสชาติหรืออยากลองปลูก ไม่ว่าจะแปลงเล็ก ๆ กินในครัวเรือน หรือทำเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ก็ขอคำแนะนำได้ถึงฟาร์ม หนุ่มบ้านโคกนาโกยินดีต้อนรับ ที่ตั้ง : บ้านโคกนาโก อำเภอโคกนาโก อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร 35150 พิกัด : https://goo.gl/maps/yR1Ls4ZQyXisDPCH7 วัน-เวลาทำการ : ติดต่อนัดหมายล่วงหน้า โทรศัพท์ : 09 5593 9010 Facebook : ดอกกระเจียวหวาน บ้านโคกนาโก 4 นัธรินทร์ฟาร์มปูนา ฟาร์มและศูนย์การเรียนรู้เรื่องปูนาแห่งแรกของยโสธร นัธรินทร์ฟาร์ม ศูนย์เรียนรู้เรื่องการเลี้ยงปูนาที่เกิดจากความชอบกิน ตั้งต้นจากการเลี้ยงไว้แค่พอกินในครอบครัว ก่อนต่อยอดเป็นธุรกิจเสริมเพาะปูขยายพันธุ์จนเกินกิน นัท-นัฐวุฒิ เงาฉาย

ยโสธรการเกษตร อ่านเพิ่มเติม

✨ ยโสฯ โซไซตี้ ✨

ยโสธรเป็นเมืองน่ารักมีเสน่ห์ ทั้งฟากสิ่งเก่าที่ชวนให้คิดถึงประเพณี วัฒนธรรม งานบุญต่าง ๆ และฝั่งของใหม่ ที่หากได้ผ่านไปช่วงหลังมานี้ จะพบว่ามีหลายสิ่งเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของบ้านเมือง ตึกรามบ้านช่อง ผู้คนหน้าใหม่ที่เข้ามาเปิดกิจการ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นหลายรูปแบบ แปลงโฉมเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องงานบุญบั้งไฟนี้ให้ดูร่วมสมัยน่าสนใจ TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง ร่วมกับ The Cloud นำเสนอคอลัมน์ Take Me Out ขอพาเลาะเที่ยวชมประเพณีที่มีแค่ที่นี่ที่เดียว ชอปปิงหมอนขิดเจ้าต้นตำรับที่ดังไกลในระดับโลก คาเฟ่ไซส์มินิที่อยากเปิดเป็นคอมมูนิตี้ให้ชาวชุมชน ไปจนถึงร้านปังปิ้งและสโลว์บาร์ที่อยากชวนมาสัมผัสบรรยากาศท้องถิ่น 😊 ท่ามกลางกระแสการพัฒนา มวลความน่ารักเรียบง่ายของวิถีชีวิตคนรุ่นเก่า กลับไม่ได้รุดหน้ารวดเร็วตามไปด้วย ยังคงอัตลักษณ์ดั้งเดิมแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ชาวยโสธรนิวเจนก็กำลังเริ่มขยับตัวทีละน้อย หลายคนเปิดกิจการร้านรวงเก๋ไก๋ บ้างก็กลับมาสร้างสรรค์กิจกรรมแปลกใหม่ให้บ้านเกิด เป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของคนในพื้นที่ที่ร่วมด้วยช่วยกันแต่งแต้มให้จังหวัดเล็ก ๆ แห่งนี้มีสีสันยิ่งขึ้น  คอลัมน์ Take Me Out ชวนทำความรู้จักยโสฯ โซไซตี้ ให้มากกว่าเดิม ผ่าน 10 สถานที่ทั่วเมืองบั้งไฟโก้ ชิมเมนูเด็ดแบบคนยโสฯ ในเขตเมืองเก่า ชอปปิงหมอนขวานผ้าขิดฝีมือชาวบ้าน ตบท้ายด้วยชีวิตสุดฮิป ทั้งชมโบสถ์คริสต์ เลาะพิพิธภัณฑ์ แล้วตามฮอปปิงนานาคาเฟ่ที่ผสานวัฒนธรรมใหม่เก่าได้เข้ากั๊นเข้ากันอย่างไม่เคอะเขิน ถ้าพร้อมม่วนแท้ม่วนหลาย ก็ตามมาดูกันได้เลย! 1 ร้านหมวยก๋วยจั๊บญวน ✨ กวยจั๊บญวนสูตรต้นตำรับในอาคารสไตล์ชิโนยูโรเปียน จังหวัดเล็ก ๆ รูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้นจากชุมชนการค้าชื่อ ‘บ้านสิงห์ท่า’ แหล่งรวมผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาค้าขายกันอย่างคึกคักเมื่อกว่าร้อยปีก่อน แม้ปัจจุบันบรรยากาศจอแจนั้นจะแปรสภาพเป็นความสงบเงียบ ที่แฝงตัวอยู่ในทุกอณูของอาคารเก่าแบบชิโน-ยูโรเปียน แต่ร่องรอยความรุ่งเรืองก็ยังทาบทับสตัฟฟ์อยู่บนร้านรวงดั้งเดิมอยู่เช่นวันวาน เจ๊หมวย-สุวรรณ แสนพันธ์ คือผู้กุมสูตรลับกวยจั๊บญวนมาเป็นรุ่นที่ 3 ผ่านเวลากว่า 40 ปี นับตั้งแต่ชาวเวียดนามอพยพมาลงหลักปักฐานที่บ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ ด้วยวิธีการทำอันเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากกวยจั๊บญวนของเจ้าอื่น เคี่ยวน้ำซุปด้วยกระดูกหมูเป็นวัน ๆ ได้รสนัวแบบโบราณ ใส่เพียงแค่หมูยอ หมูสับ และไข่นกกระทาต้ม ไม่ปรุงแต่งสิ่งอื่นจนเกินงาม เป็นสูตรออริจินอลที่อาจไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนัก เมื่อ East Meets West อาหารตะวันออกพบกับอาคารแบบตะวันตก ภายใต้ชายคาสถาปัตยกรรมเก่าอายุเกือบร้อยปี มีภาพถ่ายเก่าระบุ พ.ศ. 2474 เป็นเครื่องยืนยันถึงความโบราณและทรงคุณค่าของอาคารห้องนี้ พร้อมกับนั่งสังเกตการณ์วิถีชีวิตชาวเมืองเก่า เป็นบรรยากาศการกินที่ไม่ต้องพูดถึง นั่งซดน้ำซุปเข้มข้นกลมกล่อมของกวยจั๊บญวนหรือที่ในภาษาถิ่นเรียกกันว่า ‘ข้าวเปียก’ กินกับแหนมคลุก อีกเมนูเด็ดมรดกจากชาวเวียตที่ปรับปรุงสูตรให้ถูกปากคนไทย ใส่ใบมะกรูดและมะพร้าวขูด ซึ่งเจ๊หมวยรับรองว่าสูตรนี้มีที่เดียวในยโสธร ที่ตั้ง : 83 ถนนวิทยะธำรงค์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร 35000 พิกัด : https://goo.gl/maps/cHroMsKN8FNx1zxX7 วัน-เวลา : เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.30 – 18.00 น. โทรศัพท์ : 09 3384 8557 2 ข้าวปุ้นน้ำงัวยายนาง ✨ ร้านดั้งเดิมประจำถิ่นมีทั้งคาวและหวานแบบคนยโสธร ลัดเลาะเข้าซอยไปในชุมชนหลังวัดมหาธาตุ วัดสำคัญคู่บ้านใจกลางเมือง มีอีกสถานที่ฝากท้องของชาวยโสธรแท้ ๆ ที่ควรไปลองชิมสักครั้งหากได้มาเยือน นอกจากกวยจั๊บญวนแล้ว อีกหนึ่งของดีอร่อยปากที่ติดสอยตามมากับชาวเวียดนามพลัดถิ่น ผ่านการปรับปรุงผสมผสานกับอาหารอีสานจนลงตัว คือข้าวปุ้นน้ำงัว เมนูที่ปรุงอย่างใส่ใจโดย ยายนาง-ประนอม พรมชาติ ผู้เลื่อนตำแหน่งจากเคยเป็นลูกมือให้คุณแม่มารับช่วงกิจการต่อได้ 10 ปีแล้ว ว่ากันซื่อ ๆ ข้าวปุ้นน้ำงัว คือขนมจีนใส่น้ำซุปเนื้อวัวคล้ายก๋วยเตี๋ยว ตุ๋นเนื้อด้วยเตาถ่านกว่าค่อนวัน จนเนื้อนุ่มและน้ำซุปมีกลิ่นหอม แค่แตะจมูกก็ชวนน้ำลายสอ ใส่กะหล่ำซอยและสะระแหน่เป็นหน้าข้าวปุ้น โรยหอมเจียวปิดท้าย กินเคียงกับผักแพว ผักพื้นบ้านของชาวอีสาน รสชาติติดใจจนเคยมีนักชิมจากเมืองหลวง เอ่ยปากขอสูตรกลับไปทำกินเอง อีกเมนูควรลองคือหมี่กะทิ แนวกินตำรับอีสานให้ชิมร่วมด้วย แม้ชื่อจะเหมือนกัน แต่หน้าตาต่างจากของภาคกลางแบบคนละฝา เพราะทำจากเส้นเล็กราดด้วยน้ำแกงรสชาติออกหวาน เป็นเมนูท้องถิ่นที่แซ่บอีหลีสูสีตีคู่มาพร้อมกัน เมื่อกินอาหารคาวเสร็จสรรพ อย่าลืมต่อด้วยขนมหวานชื่อดังของจังหวัด ลอดช่องจากแป้งข้าวเจ้าที่บีบด้วยมือ ออกมาเป็นเส้นเล็กบ้างยาวบ้าง ให้สัมผัสเหนียวนุ่ม หอมกลิ่นกะทิ ซดหมดถ้วยก็ชื่นใจดับร้อนได้ชะงัด ผู้ใดสนใจอยากลองลิ้มรสชาติฉบับชาวยโสฯ ขอกำชับว่ารีบไปก่อนเที่ยง เพราะพอตะเว็นตรงหัว เพิงเล็ก ๆ ขนาด 4 โต๊ะม้าหินของยายนางจะคลาคล่ำไปด้วยขาประจำ ยังไม่ทันบ่าย 2 โมง อาหารก็ทยอยหมด เตรียมคว่ำหม้อเก็บร้านกลับบ้านแล้ว ที่ตั้ง : ใกล้วัดมหาธาตุ ถนนธาตุพิทักษ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร 35000 พิกัด : https://goo.gl/maps/QjHP5P4erU8AxYE99 วัน-เวลา : เปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 – 14.00 น. ปิดวันเสาร์-อาทิตย์ โทรศัพท์ : 09 9026 0848 3 แม่แย้มหมอนขิด  ร้านของฝากจากหัตถกรรมประจำจังหวัดที่ดังไกลทั่วโลก หากนึกถึงของดีเมืองไทยที่โกอินเตอร์ไปยังต่างประเทศ หนึ่งสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวของใครหลายคนคือหมอนขิดลายช้างอย่างไม่ต้องสงสัย แย้ม จันใด เจ้าของกิจการแม่แย้มหมอนขิดบอกว่า ต้นตำรับหมอนขิดที่เป็นเสมือนไอเท็มสามัญประจำบ้านทั่วไทยและดังไกลไปทั่วโลก แท้จริงอยู่ที่บ้านศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นผู้ฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำกันจนชินตา ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นกิจกรรมยามว่างพักระหว่างรอหน้านาของชาวอีสาน จนปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจทำเงินเข้าหมู่บ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่เดิมหมอนขิดจะใช้ผ้าฝ้ายทอยกดอกที่ทำกันเองภายในหมู่บ้าน เป็นของสูง นิยมนำไปถวายพระ งานมงคล หรือมอบกันเป็นของที่ระลึก เมื่อลูกค้าเพิ่มขึ้น มีออเดอร์เยอะจนผลิตไม่ทัน จึงให้โรงงานรับหน้าที่ทอต่อ แต่ยังคงลวดลายแบบเดิมไว้ คือลายดอกและลายช้าง รวมทั้งเพิ่มสีสันให้หลากหลายโดนใจผู้ซื้อ ส่วนไส้ของหมอนขิดก็ใช้ฟางข้าว ผลพลอยได้จากนาในท้องถิ่น  ความพิเศษอยู่ที่หมอนขวานรูปสามเหลี่ยม แม่แย้มบอกว่าทำได้เฉพาะในหมู่บ้านศรีฐาน แม้จะมีคนมาขอเรียนวิชาแต่ก็ไม่ชำนาญมือเท่าแม่ ๆ ของบ้านนี้ เพราะเป็นสกิลล์เฉพาะตัวที่ต้องสอยและขึ้นรูปด้วยมือ ที่นี่ใช่ว่ามีแต่หมอนขวาน หมอนขิดแบบเดิมที่เคยเห็น เพราะปัจจุบันสินค้าภูมิปัญญาชาวบ้านศรีฐานมีหลายขนาด หลากรูปทรง และมากด้วยฟังก์ชันการใช้งาน ทั้งเบาะรองนั่ง หมอนหนุน หมอนอิงรูปผลไม้ จนถึงหมอนเพื่อสุขภาพ ถ้าอยากได้หน้าตาที่ออกแบบเอง

✨ ยโสฯ โซไซตี้ ✨ อ่านเพิ่มเติม

โบสถ์คริสต์อีสานบ้านเฮา

วัดนักบุญอันนา หนองแสง จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่บนถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง มองเห็นวิวภูเขาของฝั่งประเทศลาว ให้ความรู้สึกสงบและร่มรื่น โบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิกแห่งนี้อยู่คู่กับชาวนครพนมมายาวนานกว่าร้อยปี เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนานาชาติที่มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น คนไทย คนญวน คนจีน คนลาว เป็นต้น อาสนวิหารแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ด้านหน้าเป็นหอคอยคู่ ยอดแหลมสูง ตัวอาคารภายนอกทาสีเหลือง งามเด่นเป็นสง่าเห็นได้แต่ไกล.โบสถ์หลังนี้เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่แทนหลังเดิมที่ถูกฝรั่งเศสทิ้งระเบิดพังเสียหายในสมัยที่มีกรณีพิพาทอินโดจีน โดยคงสถาปัตยกรรมให้คล้ายคลึงกับโบสถ์หลังเดิม ก่อนวันคริสต์มาสของทุกปี ชาวคริสต์ในแต่ละชุมชนจะประดิษฐ์ตกแต่งดาวในรูปแบบต่าง ๆ จัดเป็นขบวนแห่ดาวบริเวณรอบวัดแห่งนี้ นับเป็นงานประจำปีที่มีความสำคัญต่อชุมชนมาก หากสนใจเข้าเยี่ยมชมและถ่ายรูปสวย ๆ ในโบสถ์ แอดแนะนำให้โทรสอบถามล่วงหน้าหรือสอบถามผ่านFacebook : https://web.facebook.com/saintannanongsang(เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจำกัดจำนวนการเข้าชม).ตารางมิสซา วันจันทร์ -ศุกร์ เวลา 06.15 น. วันอาทิตย์ มิสซาเช้า 07.00 น. มิสซาเย็น 19.00 น..ที่ตั้ง 184 / 1 ถนนสุนทรวิจิตร ตำบลหนองแสง เมืองนครพนม จังหวัดนครพนมเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.30 น. – 16.30 น.โทร. 08 1975 6826 วัดสองคอนมรณสักขี หรือสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี จังหวัดมุกดาหาร.ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำโขง เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และเคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539.พื้นที่ทั้งหมดของโบสถ์คริสต์มีประมาณ 90 ไร่ ส่วนหน้าของโบสถ์เป็นลานกว้าง เพื่อรองรับผู้คนที่มาร่วมงานเฉลิมฉลอง บุญราศรี ที่จัดขึ้น 2 ครั้งของทุกปี คือวันที่ 22 ตุลาคม และวันที่ 16 ธันวาคม โบสถ์คริสต์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุญราศรีมรณสักขี ทั้ง ๗ ท่าน ที่ได้สร้างวีรกรรมแห่งวีรชนคริสตชน โดยยอมพลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในพระเจ้า ณ หมู่บ้านสองคอนแห่งนี้ จนได้รับการยกย่องเป็นบุญราศีทั้งเจ็ดแห่งเมืองสองคอน.คำว่า “บุญราศี” หรือ “นักบุญ” (THE BLESSED) เป็นการใช้นำหน้าชื่อยกย่องคริสตชนที่เสียชีวิตไปแล้ว และภายหลังปรากฎว่าคุณงามความดีของท่านขจรขจายจนมีผู้คนเคารพนับถือมาก ส่วนคำว่า “มรณสักขี” (MARTYR) คือผู้ที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อยืนยันความเชื่อต่อพระเจ้า เมื่อเดินไปทางหลังโบสถ์นอกจากจะเป็นพื้นที่โล่งได้ชมวิวแม่น้ำโขงแล้ว ยังมีเรือนอนุรักษ์ หรือบ้านมาร์ตีร์ เป็นบ้านไม้แบบดั้งเดิมและยุ้งข้าวทรงพื้นบ้าน เพื่อรำลึกถึงการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายของบุญราศี มีเครื่องใช้ไม้สอยแบบวิถีชาวบ้านอยู่ในบ้าน สำหรับพิธีมิสซา จะมีทุกวันวันอาทิตย์ เวลา 07.00 น..ที่ตั้ง บ้านสองคอน ต.ป่งขาม อ.ว่านใหญ่ จ.มุกดาหารเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 07.00 น. – 18.00 น. (ไม่มีค่าใช้จ่าย)โทร. 08 1183 5064 โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ หรือวัดอัครมหาเทวดามีคาแอล จังหวัดยโสธร.ประวัติการก่อตั้งโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ เริ่มจากปี พ.ศ. 2451 มีชาวบ้านหนองซ่งแย้จำนวน 5 ครอบครัวเดินทางไปพบบาทหลวงเดชาแวลและบาทหลวงอัมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ตำบลเซียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ขอให้ช่วยไล่ผีเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบและถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน บาทหลวงทั้งสองไปช่วยตามคำขอ จนเหตุการณ์ดีขึ้น ชาวบ้านทั้ง 5 ครอบครัวนี้จึงสมัครใจเข้านับถือศาสนาคริสต์ และมีการสร้างโบสถ์หลังแรกในปี พ.ศ. 2452 เป็นกระต๊อบฝาขัดแตะเล็กๆ เพื่อเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา โดยมีบาทหลวงเดชาแนล เป็นอธิการโบสถ์คนแรก โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้หลังปัจจุบันนี้ถือเป็น Unseen in Thailand เนื่องจากเป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ล้วน ๆ และเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้เวลาก่อสร้างไม่น้อยเลย แค่เตรียมการก็ใช้เวลาถึง 3 ปีแล้ว เนื่องจากมีขนาดใหญ่มาก กว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร ใช้ไม้มุงหลังคาถึง 80,000 แผ่น นับเป็นโบสถ์ที่เกิดจากความร่วมมือและความสามัคคีของชาวบ้านทุกคนที่นี่ เสาบางต้นยาวถึง 20 เมตร ต้องใช้คนช่วยกันลากจูง 30-40 คนทีเดียว ก่อสร้างอย่างงดงาม ในที่สุดโบสถ์ก็สำเร็จลุล่วงใน พ.ศ. 2497 พิธีมิสซา มีทุกวันวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 06.30 น. วันเสาร์ เวลา 17.00 น. และวันอาทิตย์ 07.00 น..ที่ตั้ง หมู่ 2 บ้านซ่งแย้ ต.คำเตย อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธรเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 07.00 – 17.00 น.โทร. 08 1389 7660 (หลวงพ่อไพฑูรย์)

โบสถ์คริสต์อีสานบ้านเฮา อ่านเพิ่มเติม

บุญบั้งไฟ ยโสธร…สีสันมันส์สุด

เที่ยวงานบุญบั้งไฟ สีสันมันส์สุดที่ยโสธร ยังนึกถึงปีที่แล้วที่เราและแก๊งค์เพื่อนไปรอชมขบวนแห่กันถึงขอบถนนแบบริงไซด์ นอกจากการตกแต่งขบวนบั้งไฟที่งัดเอาไอเดียสุดบรรเจิดมาตกแต่งบั้งไฟแล้ว ผู้เข้าร่วมขบวนแห่ก็ต้องจัดเต็มไม่แพ้กัน ทั้งนางรำ คนถือป้าย ขบวนวงดนตรีที่เล่นเพลงเซิ้งแบบมันหยด สร้างบรรยายกาศงานได้ม่วนคัก ทั้งชาวยโสธร นักท่องเที่ยว ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ต้องขอเซิ้งกันลืมแก่ ขนาดคนหนุ่มสาวอย่างพวกเรายังต้องยอมแพ้กันเลยล่ะ ขบวนแห่บั้งไฟ และวันต่อมาจะเป็นไฮไลท์คือการแข่งจุดบั้งไฟ ใครขึ้นสูงและนานที่สุดชนะ นี่ก็ลุ้นกันตัวโก่งเพราะมันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี ฮาๆๆ แต่ไม่เป็นไร ใครแพ้ปีนี้ ปีหน้าก็มาแข่งกันใหม่ บั้งไฟนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีการทำจรวดของไทยเลยนะ แต่วัตถุประสงค์ดั้งเดิมจริง ๆ เค้าจุดขึ้นเพื่อบูชาพญาแถนเทพที่ดูแลให้ฝนตกตามฤดูกาล จะจัดขึ้นในช่วงก่อนเข้าฤดูฝนตามตำนานความเชื่อของชาวอีสาน เรียกว่ามางานเดียวจะได้สัมผัสทั้งความสนุก วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตจิตวิญญาณของชาวอีสานอย่างแท้ทรู ถ้าอยากลองสัมผัสบรรยากาศม่วนซื่นที่บรรยายเท่าไหร่ก็คงไม่เหมือนได้ไปเที่ยวเอง และถ้าใครเบื่อที่เที่ยวเดิมๆ ลองออกไปสัมผัสวิถีชีวิตผู้คนแบบได้อารมณ์ความมันส์ของงานประเพณีพื้นบ้านชาวอีสาน เตรียมตัวกันให้พร้อม ปีนี้เค้าจัดกันในวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2561 ที่สวนสาธารณะพญาแถน ในอำเภอเมืองยโสธร วันเสาร์จะเป็นการประกวดขบวนแห่บั้งไฟ ส่วนวันอาทิตย์เป็นการแข่งจุดบั้งไฟ 

บุญบั้งไฟ ยโสธร…สีสันมันส์สุด อ่านเพิ่มเติม

สักการะ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร

5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดมหาธาตุ ได้แก่ 1. พุทธวรนาถมหาธาตุยโสธร พระประธานในพระอุโบสถ2. พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ (พระแก้วหยดน้ำค้าง)3. พระธาตุพระอานนท์ 4. กู่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิไชยราชขัตติยวงศา 5. หอไตรกลางน้ำ 1. พระอุโบสถ วัดมหาธาตุ เป็นพระอารามหลวงที่สวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดยโสธร แสดงเอกลักษณ์ของศิลปะรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจน  ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธวรนาถมหาธาตุยโสธร พระพุทธรูปประธานปางประทานพร ศิลปะลาว 2. พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ (พระแก้วหยดน้ำค้าง หรือ พระแก้วขาว ) พระพุทธรูปประจำเมือง ที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย พระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสน สร้างจากเนื้อแก้วใส ขนาดหน้าตักกว้าง 1.9 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองยโสธร  โดยท้าวพญาเมืองจำปาศักดิ์ได้ถวายพระแก้วขาวแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2355 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยโสธรคนแรก  ปัจจุบัน พระแก้วหยดน้ำค้างประดิษฐานอยู่ที่หอพระแก้ว ภายในวัดมหาธาตุ 3. พระธาตุพระอานนท์ พระธาตุที่บรรจุพระอัฐิธาตุของพระอานนท์แห่งเดียวในประเทศไทย พระธาตุพระอานนท์ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ เป็นพระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งของภาคอีสาน เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิธาตุของพระอานนท์ พระสาวกของพระพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยม อิทธิพลศิลปะลาว ส่วนฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เอวฐานคอดเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืน 4 ทิศ ส่วนยอดมีลักษณะแบบบัวเหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนมซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นล่างมียอดปลีเล็กแซมเป็นกระเปาะทั้ง 4 ด้าน 4. กู่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิไชยราชขัตติยวงศา  เจ้าพระยาวิไชยราชขัตติยวงศา สืบเชื้อสายมาจากเจ้าปางคำแห่งเมืองเชียงรุ้ง เคยเป็นเจ้าฝ่ายหน้าผู้ปกครองบ้านสิงห์ท่า (ยโสธรในอดีต) เป็นผู้ปราบกบฏอ้ายเชียงแก้วเขาโองที่เข้ายึดเมืองจำปาศักดิ์ จึงได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ให้เป็นเจ้าพระยาวิไชยราชขัตติยวงศา ครองนครจำปาศักดิ์ เมื่อท่านถึงแก่พิราลัย พระโอรสของท่านได้นำอัฐิกลับมาที่เมืองยโสธร และนำไปบรรจุไว้ในกู่ใกล้กับพระธาตุพระอานนท์ 5. หอไตรกลางน้ำ สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2373 โดยพระครูหลักคำ (กุคำ) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปที่ 3  ตัวอาคารหอไตร สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ลักษณะแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลาน พร้อมพระไตรปิฏก และตำราต่างๆ ซึ่งพระครูหลักคำเป็นผู้นำมาจากเมืองเวียงจันทน์  ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม มีการตกแต่งลวดลายที่ฝาผนัง ซึ่งเป็นลักษณะผสมผสานจากภาคกลาง พระพุทธรูปเก่าแก่ที่เก็บรักษาไว้ในหอไตร คัมภีร์ใบลานเก่าแก่ที่พระครูหลักคำนำมาจากเมืองเวียงจันทน์

สักการะ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร อ่านเพิ่มเติม

งานประเพณีบุญบั้งไฟ จ.ยโสธร

ความเชื่อของชาวบ้านเกี่ยวกับโลกมนุษย์และโลกเทวดา ตามตำนานที่กล่าวว่ามนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา โดยชาวบ้านเรียกท่านว่า “พญาแถน” …

งานประเพณีบุญบั้งไฟ จ.ยโสธร อ่านเพิ่มเติม

5 คาเฟ่เมืองยโส ร้านน่านั่ง จิบกาแฟเพลิน

5 คาเฟ่เมืองยโส ร้านน่านั่ง จิบกาแฟเพลิน…จะมีร้านอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ…

5 คาเฟ่เมืองยโส ร้านน่านั่ง จิบกาแฟเพลิน อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top