บึงกาฬ

บึงกาฬ

✨ มูให้เฮง มูให้ปัง “นคราธานี” ✨

ใกล้เข้าสู่ปีใหม่แล้ว หลายคนอยากเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ทำสิ่งดี ๆ ในปีใหม่ รวมทั้งการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเพื่อไปสักการะ ขอพร ให้การเริ่มต้นในปีต่อ ๆ ไปนั้นราบรื่นและผ่านไปด้วยดี วันนี้ แอดจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้เพื่อน ๆ สายมู บูชาพญานาค ได้ไปไหว้ขอพรให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตกันที่ถิ่นอีสาน ในเส้นทางนคราธานี พร้อมกับชมสถาปัตยกรรมอันงดงามและประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานในแต่ละที่ในจังหวัดอุดรธานี หนองคาย และบึงกาฬ กัน  วัดภูตะเภาทอง จังหวัดอุดรธานี วัดภูตะเภาทอง เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน มีพื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่เป็นลานหิน มีก้อนหินขนาดใหญ่มากกว่า 30 ลูก หนึ่งในนั้น มีหินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกับ “เรือสำเภา” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัด ชาวบ้านเชื่อกันว่า หากได้มาลอดใต้ท้องหินจะเป็นสิริมงคล เจริญในหน้าที่การงาน ประสบโชคดี จุดเด่นอีกแห่งหนึ่งของที่นี่คือประติมากรรมรูปพญานาคองค์สีทองที่ตั้งอยู่บนสระน้ำ มีนามว่า “มุจลินท์” เป็นพญานาคที่ปรากฏในพุทธประวัติว่าเป็นผู้แผ่พังพานป้องพระสมณโคดมเมื่อเกิดพายุฝนเป็นเวลา 7 วันขณะทรงบำเพ็ญเพียรที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หรือที่เราเคยเห็น “พระพุทธรูปปางนาคปรก” ตามวัดต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งเจ้าอาวาสนั้นได้สร้างขึ้นตามนิมิตของท่าน มีผู้คนนิยมมาสักการบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกันอย่างไม่ขาดสาย  ตำบลกุดหมากไฟ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานีhttps://goo.gl/maps/ZgZLBkhoyg9sAHWE9  วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี พระอารามหลวงแห่งนี้ สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นภายในวัดนี้คือ พระบรมธาตุธรรมเจดีย์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2548 เป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์ 3 ชั้น ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูป พระไตรปิฎก เป็นต้น นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีปูชนียวัตถุที่สำคัญ และยังมีความเก่าแก่อย่างมาก อาทิ พระพุทธรัศมี พระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธรูปศิลาแลงศิลปะสมัยลพบุรี ปางประทานพร เป็นต้น ซึ่งแต่ละชิ้นมีอายุตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงพันปี นับว่าเป็นวัตถุโบราณอันทรงคุณค่า และยังเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านในพื้นที่และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเลยทีเดียว   ถนนเพาะนิยม ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีhttps://goo.gl/maps/vqUZS4qGC4vZLT1E6  วัดสระมณี จังหวัดอุดรธานี วัดสระมณี วัดสวยในจังหวัดอุดรธานี แถมเป็นวัดที่สายมูไม่ควรพลาด แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกกันว่า วัดแห่งนี้มีความเก่าแก่นับร้อยปี และยังมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจว่า “ภายในวัดมีสระน้ำอยู่ วันดีคืนดี มีลูกแก้วมณีโชติลอยขึ้นมาจากสระน้ำนั้น สีสันสดใสและสวยงามมาก จึงตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดสระแก้วมณีโชติ หรือ สระมณีโชติ” ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ว่า วัดสระมณี ที่นี่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่มีลวดลายและสีสันงามวิจิตร อุโบสถหลังงาม ตกแต่งด้วยกระจกสี สะท้อนกับแสงระยิบระยับ ภายในประดิษฐาน “พระพุทธพิบูลธนาภิรมย์” รอบ ๆ วัดมีประติมากรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง “ยักษ์ ยม พรหมณ์ นาค” ที่มีความงดงามอย่างมาก ได้มาเคารพสักการะกันแล้ว ยังได้ชมความงดงามภายในวัดกันอีกด้วย  ตำบลผักตบ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานีhttps://goo.gl/maps/9gWVSTcEJJEZxPVK6  วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย เลียบแม่น้ำโขงในจังหวัดหนองคาย ดินแดนแห่งวัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค มีวัดเก่าแก่กระจายตัวอยู่มาก หนึ่งในวัดที่แอดอยากให้เพื่อน ๆ ได้มาสักการะคือ “วัดโพธิ์ชัย” ในอดีต วัดนี้เป็นวัดร้าง จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ มีการบูรณะวัดขึ้นมาและยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ด้านหน้าพระอุโบสถมี “พระธาตุยักษ์” เป็นเจดีย์พระธาตุอรหันต์องค์สีขาว ประดับปูนปั้นรูปยักษ์สีทอง ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ตำนานพื้นบ้าน รวมถึงประวัติพระสุก พระเสริม พระใส และประเพณีฮีตสิบสอง (ประเพณี 12 เดือนที่เกี่ยวเนื่องกับหลักทางพุทธศาสนา และความเชื่อของชาวอีสาน) ในช่วงสงกรานต์ของทุก ๆ ปี จะมีงานสมโภชและสรงน้ำหลวงพ่อพระใส โดยอัญเชิญหลวงพ่อพระใสแห่รอบเมืองหนองคายให้ประชาชนได้สรงน้ำกัน  พระธาตุบังพวน จังหวัดหนองคาย วัดเก่าแก่แห่งนี้เป็นที่ตั้งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ซึ่งเดิมทีองค์พระธาตุนั้นสร้างด้วยอิฐเผา และได้พังทลายลงเมื่อปี พ.ศ. 2513 ต่อมากรมศิลปากรจึงได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ วัดพระธาตุบังพวน มีกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญ เรียกว่า สัตตมหาสถาน หรือสถานที่จำลองที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข สร้างขึ้นตามความเชื่อและคติคำสอนของพุทธศาสนาหลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว จำนวน 7 แห่ง คือ โพธิบัลลังก์ อนิมมิสเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ อซาปาล นิโครธเจดีย์ มุจลินทเจดีย์ และราชายตนะเจดีย์ ซึ่งที่วัดพระธาตุบังพวนแห่งนี้ นับเป็นแห่งเดียวในโลกที่ยังหลงเหลือโบราณสถานครบทั้ง 7 สิ่ง  อีกสิ่งหนึ่งที่คนมากราบสักการะคือ “สระมุจลินท์” หรือ สระพญานาค เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่อาศัยของพญานาคมุจลินท์ ที่สำคัญ น้ำจากสระมุจลินท์แห่งนี้ ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เคยถูกนำเข้าพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และพิธีสำคัญในรัชกาลปัจจุบันเป็นประจำอีกด้วย บริเวณสระมีทางเดินให้ลงไปไหว้ขอพร แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงลงไป สามารถไหว้ขอพรได้เฉพาะบริเวณศาลพญานาคด้านหน้าสระน้ำได้  บ้านดอนหมู ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายhttps://goo.gl/maps/vdehs6jKR2ZpcbqU6 พระธาตุหล้าหนอง จังหวัดหนองคาย “พระธาตุหล้าหนอง” หรือพระธาตุกลางน้ำแห่งเมืองหนองคาย สันนิษฐานว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวนที่มีการค้นพบว่าสร้างในสมัยนั้น แต่เดิม พระธาตุนี้ตั้งอยู่ที่วัดธาตุ ริมฝั่งแม่น้ำโขง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2390 องค์พระธาตุได้พังทลายและเอียงล้มจากการถูกน้ำกัดเซาะ เหลือเพียงองค์พระธาตุก่ออิฐถือปูนที่จมอยู่กลางแม่น้ำโขง จะปรากฏให้เห็นในช่วงที่น้ำลด ปัจจุบันมีการสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองไว้บนฝั่ง ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำโขงใกล้ ๆ กับองค์จริง และได้มีการบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงไว้ข้างใน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการะกัน  การชมพระธาตุหล้าหนองกลางแม่น้ำโขง สามารถชมได้ในระยะไกลจากฝั่ง หรือจะนั่งเรือไปชมและสักการะใกล้ ๆ ก็ได้ โดยจะมีเรือให้บริการ 200 บาท/ลำ นั่งได้ 10-15 คน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที  ตำบลหาดคำ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายhttps://goo.gl/maps/8cJtrqiXFXRAjSVF8  ถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ ถ้ำนาคา แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักเมื่อ 2 ปีก่อนนี้ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ไฮไลต์ของการเดินทางมายังถ้ำนาคานั้นคือการมาชมปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาของหินที่เกิดการกัดกร่อน เรียกว่า […]

✨ มูให้เฮง มูให้ปัง “นคราธานี” ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ กาฬเก่า-กาฬใหม่ ✨

TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง ร่วมกับ The Cloud ขอนำเสนอคอลัมน์ Take Me Out ชวนพิสูจน์ความเก๋ไก๋ของ ‘บึงกาฬ’ จังหวัดน้องใหม่ ที่แฝงความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ไม่แพ้จังหวัดพี่ ๆ อย่างแน่นอน ตั้งแต่ล่องเรือผ่านลุ่มแม่น้ำโขง สัมผัสเมืองบึงกาฬเก่า-ใหม่ กิน เที่ยว พัก และเรียนรู้วัฒนธรรมอย่างครบรส รับรองว่าจะฮักที่นี่หล้ายหลาย บึงกาฬ คือจังหวัดน้องใหม่ เกิดจากการมัดรวมบรรดา 8 อำเภอน้อยใหญ่ในจังหวัดหนองคาย และยกสถานะขึ้นเป็นจังหวัดลำดับที่ 77 ของประเทศไทย เวลาเอ่ยถึงจังหวัดนี้คนส่วนใหญ่คงคิดว่ามีอะไร ๆ คล้ายหนองคายไปเสียหมด ตั้งแต่วิถีชุมชน สัมพันธ์ไทย-ลาวเลาะริมโขง อาหารการกิน วัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพญานาค ไปจนถึงเกาะแก่งแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หากปรับจูนโฟกัสให้แคบลงเข้าหาบึงกาฬสักนิด แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งหินสามวาฬ ในเขตพื้นที่อนุรักษ์เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ ป่าดงสีชมพู และถ้ำนาคา ในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ก็ฟังดูคุ้นหูผู้คนในปัจจุบันนี้มากขึ้นหน่อย  แต่บึงกาฬที่เรารู้จักไม่ใช่แบบนั้น… นอกเหนือจากความดีงามที่ว่ามาแล้ว บึงกาฬยังเป็นเมืองซึ่งสอดแทรกความใหม่ร่วมสมัยเข้ากับความเก่าแก่เก๋ไก๋ได้อย่างแนบเนียน เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ที่โยกย้ายกลับแดนเกิด เปิดกิจการห้างร้านเจ๋ง ๆ เลียบเคียงไปกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบึงกาฬ ชุบชีวิตให้จังหวัดกลับมาคึกคัก เคียงคู่กับวัฒนธรรมดั้งเดิมทรงคุณค่าได้อีกครั้ง  สถานีต่อไป ‘บึงกาฬ’ เก็บสัมภาระให้พร้อมแล้วไปเที่ยวให้ม่วนซื่นนำกันโลด เพราะเราพามาตกหลุมรักจังหวัดน้องใหม่ลำดับที่ 77 ของไทย ดูทั้งเมืองบึงกาฬเก่า-กาฬใหม่ ที่สอดแทรกความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว เราคัดมาแล้วว่าม้วนแท้แน่นอน  1 พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต  พิพิธภัณฑ์บ้านอีสานโบราณอายุ 60 ปีที่พลิกจาก Local สู่เลอค่า  ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้าเขตบ้านเก่า ที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต ก็หวนให้คิดถึงความทรงจำเมื่อครั้งวัยเยาว์ ผู้เฒ่าผู้แก่ และกลิ่นถ่านไม้ยามนึ่งข้าวเหนียว  พิพิธภัณฑ์นี้เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของ ขาบ-สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ชื่อดังผู้ประสบความสำเร็จในระดับโลก เขาเปลี่ยนบ้านเก่าที่ตัวเองเติบใหญ่มาเป็นพิพิธภัณฑ์กึ่งศูนย์การเรียนรู้ประจำชุมชน ต่อยอดความดีงามทุกด้านในหมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ตั้งแต่สถาปัตยกรรม อาหารการกิน วิถีชีวิต และความเชื่อเรื่องพญานาค ปรับปรุงให้อยู่ในรูปแบบที่หวือหวาน่าสนใจ สมกับคอนเซ็ปต์ ‘จาก Local สู่เลอค่า’  ห้องหับยังคงจัดวางข้าวของดั้งเดิมไว้อยู่กับที่ ราวกับใช้งานอยู่เป็นนิตย์ สะท้อนชีวิตชาวบึงกาฬขนานแท้ พื้นที่จัดสรรปันส่วนให้เป็นระเบียบน่าชมสมกับเป็นพิพิธภัณฑ์ มีบริเวณกว้างโดยรอบสำหรับทำกิจกรรมที่จะสับเปลี่ยนเวียนหมุนไปตามโอกาส แถมด้วยพญานาค 4 ตระกูลสุดป๊อป สีเขียวตัดม่วงชวนมอง มื้ออาหารท้องถิ่นเสิร์ฟแบบทันสมัย เครื่องจักสานสะท้อนวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้คือการปรับตัวที่ฟู้ดสไตลิสต์คนเก่งประสานมือกับน้องพี่ในชุมชน   ตำบลหนองพันทา อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ https://goo.gl/maps/ac8nDK7i6PpsfNXbA  เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.  08 6229 7626  พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬ  2 สตรีทอาร์ตชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่  คืนชีพชุมชนทางผ่านด้วยสตรีตอาร์พญานาคสุดจ๊าบ  มาเพลิดเพลินเจริญตาไปกับสตรีทอาร์ตแห่งหมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ เป็นการรวมพลังของคนในชุมชนนำคติความเชื่อเรื่องพญานาคมาดัดแปลงเป็นตัวการ์ตูนน่ารัก เพนต์ลงบนผนังเหย้าเรือนของพี่น้องชาวขี้เหล็กใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศชุมชนให้มีชีวิตชีวา อบอวลด้วยมวลแห่งความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนแนวคิดการปรับตัวให้เท่าทันสังคมที่เปลี่ยนไป โดยใช้สตรีทอาร์ตเป็นเครื่องมือสร้างสุข  แนะนำให้เดินทอดน่องลัดเลาะทั่วชุมชนทักทายแม่ป้า ด้วยรอยยิ้มบ้าง เสียงหัวเราะบ้าง คำโอภาปราศรัยจากใจบ้าง และอย่าลืมตามหา Easter Egg ที่ซุกซ่อนอยู่ตามซอกมุมทั่วหมู่บ้านนี้ล่ะ  ตำบลหนองพันทา อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ https://goo.gl/maps/ac8nDK7i6PpsfNXbA 3 ศิลปะบำบัดในโรงพยาบาลโซ่พิสัย  ศิลปะสุดคิวต์แต่งแต้มโรงหมอ ชุบชูจิตใจทั้งคนไข้และญาติ ถ้าเบื่อบรรยากาศโรงพยาบาลรัฐแบบเดิม ๆ ลองเปลี่ยนมาใช้เวลาที่ ‘โรงพยาบาลโซ่พิสัย’ กันไหม เพราะที่นี่มีงานศิลปะสุดคิวต์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ลบภาพจำโรงพยาบาลรัฐแบบเดิม ๆ จนสิ้น  จากวิสัยทัศน์ของ นายแพทย์สุรพงษ์ ลักษวุธ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโซ่พิสัย ที่ตั้งใจเปลี่ยนโรงหมอแห่งนี้เป็นบ้านหลังอบอุ่น ไม่ว่าผู้ป่วยมากน้อยรายไหนได้เข้าเขตแดนนี้มา ล้วนต้องแข็งแรงทั้งกายและใจกลับไป ญาติพี่น้องมาเฝ้าไข้ก็ต้องมีกำลังใจดี  มุมมองนี้เปิดโอกาสให้ โบ-อิสรีย์ ฉัตรดอกไม้ไพร นักเรียนจิตอาสาผู้มาฝึกงานที่พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต ร่วมมือกับขาบ ฟู้ดสไตลิสต์เจ้าถิ่น มาผัดแป้งแปลงโฉม แต่งแต้มสีสันเรื่องราวลงบนผืนผนังทั่วทั้งสถานพยาบาลประจำอำเภออายุ 30 ปี ให้มีชีวิตชีวา  143 หมู่ที่ 2 ตำบลโซ่ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ https://goo.gl/maps/w59LsSevzHSssuTp9  เปิดทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง  0 4248 5100  โรงพยาบาลโซ่พิสัย  4 วัดพระแม่ถวายพระกุมารในวิหาร โบสถ์คริสต์ริมโขงอายุ 200 ปี ศูนย์รวมจิตใจชาวคริสต์บุ่งคล้า สองข้างทางในอำเภอบุ่งคล้าเต็มไปด้วยโบสถ์คริสต์สลับกับวัดไทย ผู้คนที่นี่ต่างศาสนาแต่อยู่ร่วมกันด้วยความเคารพอย่างน่าประทับใจ ริมแม่น้ำโขง ใจกลางตัวอำเภอ คือที่ตั้งของโบสถ์คริสต์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี  อาจารย์โชคดี คุณโดน เล่าตำนานว่า ที่นี่เกิดขึ้นจากนักบุญชาวคริสต์ไถ่ตัวข้าไทจากเมืองลาว แล้วข้ามฟากมาตั้งรกรากที่บ้านภูสวาท ทำให้ชาวบ้านศรัทธา พร้อมเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา และกระจายความเชื่อออกไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน ประจักษ์หลักฐานคือโบสถ์ตรงหน้า ลำพังสถาปัตยกรรมอาจบอกเล่าเรื่องราวได้ไม่ชัดเจน แต่หากมาถูกช่วง ตรงกับหน้าเทศกาล จะได้สัมผัสประเพณีชาวคริสต์ โดยเฉพาะเทศกาลอีสเตอร์ ที่จะแห่กันขึ้นเขาไปทำพิธี หรือเทศกาลแห่ดาวในวันคริสต์มาสอีฟ  ไม่ไกลกันมี ‘คักแท๊ะ แสนพันโฮมสเตย์’ ที่พร้อมนำเที่ยวชุมชนบุ่งคล้าระดับมืออาชีพ สัมผัสสินค้าโอทอปท้องถิ่น พร้อมฟังประวัติศาสตร์เล่าขานที่ไม่ได้จดจารึกไว้ที่ไหน แต่มาจากปากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน  วัดพระแม่ถวายพระกุมารในวิหาร  ตำบลหนองเดิ่น อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ https://goo.gl/maps/4wWW1XWhmdUZPLir6 5 กว้างคูณยาว คาเฟ่ของลูกหลานบึงกาฬที่ตั้งใจให้เป็นแลนด์มาร์กจังหวัด เขาว่ากันว่า หากคนรุ่นใหม่บึงกาฬกลับมาทุ่มทุนลงมือทำกิจการสักแห่ง ต้องเป็นเพราะความรักล้วน ๆ กว้างคูณยาว คาเฟ่ของ ธี-พิพัฒน์พงศ์ นาใจปัด ชาวบึงกาฬรุ่นใหม่คือเครื่องยืนยัน อดีตนักเรียนเบเกอรี่จากเลอ กอร์ดอง เบลอ ผู้เริ่มต้นทำร้านกาแฟและขนมหวานที่จังหวัดชลบุรีด้วยความรัก ประสบความสำเร็จมากมายจนต้องขยายสาขา สู่หัวเรี่ยวหัวแรงสร้างสรรค์คาเฟ่แห่งนี้ให้เป็นแลนด์มาร์กท้องถิ่น

✨ กาฬเก่า-กาฬใหม่ ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ ฮักนะ “บึงกาฬ” ✨

บึงกาฬ จังหวัดเล็กๆที่อยู่เหนือสุดของภาคอีสาน ที่ถึงแม้จะเป็นจังหวัดเล็ก ๆ แต่มีที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ใหญ่โต อลังการหลายแห่งเลย แอดเลยอยากพาเพื่อน ๆ มาเที่ยวทิพย์ ทำความรู้จักบึงกาฬ ที่รับรองว่าจะต้องประทับใจจนต้องตะโกนบอกรักบึงกาฬออกมาดัง ๆ แน่นอน ก่อนจะออกเดินทาง อยากให้ลองเช็คมาตรการเข้าจังหวัดบึงกาฬกันก่อน โดยคลิกอ่านรายละเอียดตามลิงก์นี้ได้เลย https://www.facebook.com/RADIOBUENGKAN104.25MHZ/posts/804358170269641 (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2564) สำหรับใครที่ยังลังเล ยังไม่พร้อมเดินทาง หรืออยากจะหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเดินทาง สามารถอ่านได้จาก eBook จังหวัดบึงกาฬที่ https://www.amazingthailandebook.com/issue/96 หรือสามารถดาวน์โหลดในรูปแบบ Application : Amazing Thailand eBook ได้ทั้งระบบ iOS และ Android บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย หลายคนส่วนใหญ่จะรู้จักจังหวัดนี้เพราะแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง หินสามวาฬ ที่ว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปี ตั้งอยู่ในภูสิงห์ ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่เพื่อน ๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นผืนป่าสีเขียว ไปจนถึงเมืองปากกระดิ่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเลยล่ะ ภาพมุมสูงของหินขนาดใหญ่ที่เรียงตัวกัน มองแล้วเหมือนวาฬที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี ทั้งพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ที่จะถูกเรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน เป็นที่มาของชื่อ หินสามวาฬ นั่นเอง ถ้ำนาคา เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาหินทรายชื่อ “ภูลังกา” มีอายุกว่า 70 ล้านปี ที่มาของชื่อ มาจากลักษณะลวดลายของหินและผนังถ้ำที่มีลักษณะเป็นเกล็ด คล้ายเกล็ดพญานาคที่กำลังนอนขดตัว ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการนี้มีว่า “ซันแครก” ( Sun Cracks) เกิดจากการขยายตัวและหดตัวของผิวหน้าของหิน ถึงแม้จะมีตะไคร้ขึ้นเขียวครึ้ม แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนพญานาคจริง ๆ เลยล่ะ Cr.รูปภาพจาก https://www.facebook.com/TATPhotographSection เที่ยวทิพย์บึงกาฬทั้งที จะไม่พูดถึงภูทอกก็ไม่ได้ วัดเจติยาคีรีวิหาร หรือวัดภูทอก สถานที่ท่องเที่ยวสุด unseen อีกแห่งของบึงกาฬ ที่เพื่อน ๆ ต้องเดินลัดเลาะบนทางเดินไม้เลียบหน้าผา เพื่อขึ้นมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐาน ณ พุทธวิหาร พร้อมชมวิวที่ทั้งสูงและสวย ถึงแม้ช่วงนี้จะยังไม่เปิดให้เที่ยว แต่แอดก็อยากให้เพื่อน ๆ เตรียมร่างกายให้พร้อม ถึงฤดูกาลท่องเที่ยวของภูทอก 10 -16 เมษายนของทุกปีเมื่อไหร่ จะได้พร้อมออกเดินทางทันที ปิดท้ายกันที่บึงโขงหลง ทะเลสาบขนาดใหญ่และมีน้ำตลอดปีไม่เคยแห้ง และยังเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์นกอีกด้วย การนั่งชมนก ดูพระอาทิตย์ตกริมบึง พร้อมกับชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน ถือเป็นการจบทริปที่อิ่มใจ จนทำให้อยากบอกว่า ฮักนะ บึงกาฬ ดัง ๆ เลยทีเดียว

✨ ฮักนะ “บึงกาฬ” ✨ อ่านเพิ่มเติม

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ

บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วจังหวัด หากเพื่อนๆ ยังไม่เคยไป แอดมีแหล่งท่องเที่ยว 3 แห่งมานำเสนอ.ภูสิงห์ เขตป่าสงวนที่มีหินสวยๆ ซ่อนอยู่ รอให้ไปค้นหาภูทอก บันไดไม้แห่งศรัทธาสู่ภูเขาแห่งธรรมน้ำตกถ้ำพระ สไลเดอร์ธรรมชาติ ถ่ายภาพยังไงก็สวย.อยากรู้เป็นยังไง ตามแอดไปดูกันเลย ที่แรกที่แอดจะแนะนำก็คือ “ภูสิงห์” สถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นภูเขาหินทรายสีชมพูล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีเนื้อที่ 12,000 ไร่.ที่ตั้ง : ต.นาสิงห์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 05.00 – 17.00 น. (ขาลงเที่ยวสุดท้ายไม่เกิน 18.30 น.)ติดต่อเจ้าหน้าที่ สอบถามข้อมูล หรือบริการนำเที่ยว โทร. 080 196 1631ททท. สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 สิ่งอำนวยความสะดวก – มีจุดกางเต็นท์อยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รองรับได้ประมาณ 1,000 หลัง หากใครไม่ได้นำอุปกรณ์กางเต็นท์มาเช่าได้ที่นี่เลย สอบถามราคาได้ที่เจ้าหน้าที่ ส่วนค่าธรรมเนียมในการกางเต้นท์ แล้วแต่เพื่อนๆ จะบริจาคกันตามใจ**ไม่อนุญาตให้กางเต็นท์ด้านบนภูสิงห์**– มีร้านอาหารตามสั่ง ขนม และเครื่องดื่มอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว– สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่ารถโฟร์วีลขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่างๆได้ ค่าบริการคันละ 500 บาท นั่งได้ 10 คน **นักท่องเที่ยวสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปได้ แต่แอดแนะนำให้ใช้บริการของภูสิงห์จะดีกว่า เนื่องจากทางค่อนข้างซับซ้อน** ไฮไลท์แรกของภูสิงห์ที่แอดจะแนะนำ ได้แก่ “ลานธรรมภูสิงห์” ลานกว้างขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปหลวงพ่อพระสิงห์ประดิษฐานอยู่ หากเพื่อนๆ สังเกตดู จะเห็นว่าหินทรายด้านหลังพระพุทธรูปนั้นดูคล้ายกับสิงโตหมอบ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูสิงห์” นั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่ที่พระสงฆ์และฆราวาสใช้จัดกิจกรรมทางศาสนาและสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำทุกปี จุดต่อมาคือ “หินสามวาฬ” แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องไปถ่ายรูปสวยๆ กัน มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายวาฬ 3 ตัว พ่อ แม่ ลูก แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีเขียว โดยปกติเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ขึ้นเฉพาะหินวาฬพ่อและแม่เท่านั้น เนื่องจากหินวาฬลูกมีลักษณะเป็นสันเขาแหลม อาจทำให้เกิดอันตรายได้ แอดไปแล้วได้ภาพสวยๆมาเยอะเลย เพื่อนๆ คนไหนไปมาแล้ว เอาภาพมาอวดแอดได้นะ จากบนนี้เราจะมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลถึงแม่น้ำโขงและเมืองปากกระดิ่ง ประเทศลาวเลย ส่วนพื้นที่สีเขียวๆ ด้านล่างนี้คือสวนยางพารา ซึ่งบึงกาฬถือเป็นจังหวัดที่ปลูกต้นยางมากที่สุดในภาคอีสานเลยทีเดียว มาต่อกันที่ “หินหัวช้าง” เป็นโขดหินขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายหัวช้าง พอขึ้นมาแล้วเหมือนเรานั่งอยู่ตรงหัวช้างเลย “หินช้าง” อยู่ตรงข้ามกับหินหัวช้าง มีลักษณะคล้ายช้างยืนเต็มตัว ซึ่งหินช้างนี้เราไม่สามารถขึ้นไปได้นะ ดูได้อย่างเดียว “ส้างร้อยบ่อ” (“ส้าง” เป็นภาษาถิ่น แปลว่า “บ่อ”) จุดชมวิวริมผาที่มีลักษณะเป็นหลุมขนาดต่างๆ กัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาและการกัดกร่อนของลมฝน ในฤดูฝนในส้างจะมีน้ำขังด้วย จากจุดนี้สามารถมองเห็นหนองกุดทิงได้ และนอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย สถานที่ต่อมาที่เราจะไปกันก็คือ “วัดภูทอก” สถานปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบที่มีความงดงามทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร โดยมีทางเดินเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขาจนถึงชั้นบนสุด ภูทอกน้อย เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือ วัดภูทอก ดังนั้นเมื่อมาที่นี่ เพื่อนๆ ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยและปฏิบัติตามกฎของวัดกันด้วยนะ ที่ตั้ง : บ้านคำแคน ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 08.00 – 18.00 น.ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย วิวของภูทอก ก็จะเป็นอะไรประมาณนี้ จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย จากพุทธวิหารจะมองเห็นภูทอกใหญ่ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเดินกลับไปตามทางเดิม เราก็จะเจอทางเดินไม้เวียนรอบเขาซึ่งนำทางไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 (จริงๆ มีชั้นที่ 7 ด้วย แต่สภาพเป็นป่าที่ค่อนข้างรก จึงไม่แนะนำให้ขึ้นไป) การปีนป่ายขึ้นมายังภูทอกและเดินบนทางเดินไม้รอบหน้าผานั้น นอกจากจะทำให้ได้เสียเหงื่อแล้ว ยังต้องใช้ความระมัดระวังและมีสติในทุกย่างก้าวอีกด้วย สำหรับแอดแล้วถือว่าเป็นเหมือนการฝึกจิตอย่างหนึ่งเลยนะ และที่สำคัญแอดยังได้ความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่สามารถพิชิตภูทอกได้สำเร็จแถมมาด้วย บนชั้นที่ 6 นอกจากการเดินชมวิวรอบหน้าผาบนทางเดินไม้แล้ว อีกจุดที่แอดว่าน่าสนใจมากๆ ก็คือ “ถ้ำพญานาค” ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นช่องเล็กๆ อยู่ด้านหลังพระพุทธรูปนาคปรก ว่ากันว่าคือปากทางเข้าเมืองพญานาค และเมื่อแหงนมองขึ้นไปบนเพดานถ้ำ ก็จะเห็นหินสีเขียวติดอยู่ มองแล้วคล้ายกับดวงตาของพญานาคเลย ข้อควรปฏิบัติก่อนขึ้นเขา เนื่องจากภูทอกเป็นวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรม ผู้มาเยี่ยมชมจึงควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด ได้แก่ – ไม่ส่งเสียงดังรบกวนพระสงฆ์ที่กำลังปฏิบัติธรรม– ห้ามขีดเขียนข้อความลงบนหิน– แต่งกายสุภาพ (ห้ามใส่เสื้อแขนกุด เอวลอย กระโปรงสั้น กางเกงขาสั้น ฯลฯ)– ห้ามนำอาหารขึ้นไปรับประทานด้านบนโดยเด็ดขาด (เพราะอาจมีลิงเข้ามาแย่งอาหาร) ภูทอกจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้น ระหว่างวันที่ 10

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ Life Community Museum Buengkan.ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดบึงกาฬ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ แต่มีแนวคิดสุดยิ่งใหญ่ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต” โดยคุณขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ชื่อดังของเมืองไทย .ด้วยความที่คุณขาบเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะและการออกแบบ จึงได้นำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่ชุมชน ทั้งยังให้คำแนะนำในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้ในอนาคต.บรรยากาศภายในชุมชนจะเป็นยังไง ตามแอดมาดูกันเลย!! พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ ที่ตั้ง: ชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬพิกัด: https://goo.gl/maps/nBxfdciSLnAPHjyt9เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.Facebook : พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬโทร. 086 229 7626, 081 612 8853 กิจกรรมต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ– พักค้างคืนที่โฮมสเตย์ ราคา 300 บาท/คน (พักได้ 20 คน มีแอร์ทุกห้อง)– ท่องเที่ยวจังหวัดบึงกาฬแบบ One day trip ราคา 599 บาท/คน (รับตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป)– เช่าจักรยานปั่นชมภาพวาดพญานาคภายในชุมชน ราคา 20 บาท/คัน– เช่าชุดพื้นบ้านอีสานใส่เที่ยวเก๋ๆ (โสร่งสำหรับผู้ชาย และผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิง) ราคา 100 บาท/คน– ชมศูนย์อาชีพชุมชนยั่งยืน ได้แก่ เครื่องจักสาน ลูกประคบสมุนไพร และยาหม่องกลิ่นตะไคร้หอม– นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่าสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งศึกษาดูงานด้วย เงื่อนไขการเข้าชม– จ่ายเงินก่อนเข้าชม (คนละ 50 บาท)– ไม่หยิบจับเคลื่อนย้ายสิ่งของ– ถ่ายภาพให้เต็มที่– สำรวมกายใจเมื่ออยู่ในห้องพระ  เมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เราจะเห็นภาพวาดพญานาคตามผนังบ้านหลายหลังตลอดสองข้างทาง เมื่อเข้าไปจนสุดทาง ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัด บึงกาฬ ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยอีสานหลังเก่าแก่กว่า 60 ปี ของคุณขาบ ที่ได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ บริเวณด้านข้างของตัวบ้านที่ต่อเติมออกมาเป็นลานอเนกประสงค์นั้น ก็มีผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านในชุมชนมาวางจำหน่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋ารูปทรงต่างๆ กระติ๊บข้าวเหนียว เสื้อผ้า ฯลฯ รวมทั้งยังมีเวทีให้ศิลปิน นักออกแบบ และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ มาจัดแสดงผลงานอีกด้วย  หากเพื่อนๆ ลองสังเกตดูตามตัวบ้าน จะเห็นบันไดและประตูหน้าต่างทาด้วยสีเขียว “ตั้งแช” ซึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเลที่สบายตา สื่อความหมายถึงต้นไม้และธรรมชาติ เพิ่มสีสันให้บ้านหลังนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น  ชั้นบนของบ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดับอยู่ทุกห้อง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีมุมจัดแสดงเครื่องแต่งกายเวลาไปวัดของชาวอีสานในสมัยก่อนให้ชมด้วย โดยชาวบ้านนิยมสวมเสื้อขาว ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นไหมและผู้ชายนุ่งโสร่ง อีกด้านของตัวบ้าน มีห้องครัวพื้นบ้านแบบอีสาน ที่มีเครื่องครัวต่างๆ ที่เคยใช้งานจริงจัดแสดงไว้ให้ชมด้วย ที่สำคัญมีไหปลาร้าที่คุณขาบบอกให้แอดลองเปิดดมดูด้วยนะ ถ้าอยากรู้ว่ากลิ่นเป็นยังไง เพื่อนๆ ต้องไปลองดมเอง  พื้นที่ด้านนอกตรงข้ามบ้านเป็นลานวัฒนธรรมกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีแคร่ไม้ให้นั่งพัก ด้านบนมีโคมไฟสุ่มไก่สุดเก๋ไก๋ และยังมีภาพวาดสีสันสดใสบนกำแพงสังกะสีด้วย สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลย เพราะมีพร็อพของจริงให้ถ่ายได้อย่างเต็มที่ ทั้งสุ่มไก่ สุ่มปลา เชือกจูงควาย ใครไปแล้วได้ภาพสวยๆ มาโพสอวดแอดได้เลยนะ ใกล้ๆ กับบ้านมียุ้งข้าว ซึ่ง “Alex Face” ศิลปิน Graffiti Street Art ชื่อดังระดับโลก เพิ่งมาสร้างสรรค์ผลงานสุดเจ๋งเอาไว้!! คราวนี้มาในธีม “น้องมาร์ดี กับ พี่นาค” น่ารักน่าชังมาก ใครชอบน้องมาร์ดีต้องมาให้ได้นะ  หากเพื่อนๆ มีเวลา แอดแนะนำให้เดินชมภาพพญานาคที่กระจายอยู่รอบชุมชนให้ทั่วเลยนะ ภาพวาดมากมายเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ได้ปรับให้มีความทันสมัยแต่ก็ยังสะท้อนความเป็นชุมชนได้เป็นอย่างดี  ภาพพญานาคส่วนใหญ่ที่ปรากฏจะเกี่ยวข้องกับอาชีพและความชอบของเจ้าของบ้านหลังนั้นๆ เช่น พญานาคกับไอศกรีมซันเดย์ พญานาคตำส้มตำ พญานาคกำลังตัดผม พญานาคกับจักรยาน เป็นต้น ถ้าเดินกันเหนื่อยแล้ว สามารถมาแวะเติมพลังกันได้ที่พิพิธภัณฑ์ (แต่ต้องจองล่วงหน้านะ) ที่นี่เค้ามี “พาแลง” ที่นำเอาอาหารถิ่นมาจัดรวมกันเป็นชุด สำหรับแอดแล้วไม่มีคำไหนที่ไม่อร่อยเลย รสมือแม่ครัวนัวและวัตถุดิบดีมาก ที่สำคัญได้รับรางวัลเกียรติยศชนะเลิศของโลก Local Table จากเวที Gourmand Awards ประเทศฝรั่งเศสมาแล้วด้วย .หากเพื่อนๆ มาตรงกับวันเสาร์ สามารถมาเดินเล่นที่ตลาดชุมชนพอเพียง บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ มาอุดหนุนอาหารและพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านได้ด้วย การเดินทาง  เครื่องบิน: จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี มีบริการรถเช่าทั้งรถยนต์และรถตู้   รถยนต์ : จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 สู่จังหวัดหนองคาย จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ไปจนถึงแยกโพนพิสัย เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2267 ไปจนถึงแยกบ้านตูม เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทหมายเลข 4022 ขับไปตามทางเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกทางไป อ.โซ่พิสัย ทางขวามือ ระยะทางรวม 146 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ – จาก อ.เมืองบึงกาฬ ใช้เส้นทางลัดผ่านวัดป่าดานวิเวก (ทางหลวงชนบทหมายเลข 3013) และทางหลวงหมายเลข 2095 ระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที – จากสถานีรถไฟหนองคาย นั่งรถขนส่งประจำจังหวัดไปยัง อ.โซ่พิสัย ระยะทาง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 9 ตุลาคม 2562

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

ดารานาคี เสน่ห์ผ้าทอแห่งลุ่มน้ำโขง

เมื่อพูดถึงจังหวัดบึงกาฬ ภาพแรกที่เรามักจะนึกถึงก็คือ ธรรมชาติที่สวยงาม อย่างหินสามวาฬ ภูทอก น้ำตกถ้ำพระ และถ้ำนาคา แต่นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว จังหวัดบึงกาฬยังขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอด้วย วันนี้แอดมินจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ ที่โดดเด่นเรื่องการทอผ้าขาวม้า และเป็นแหล่งกำเนิดของ “ผ้าขาวม้าดารานาคี”.ผ้าขาวม้าดารานาคีคืออะไร จะซ่อนเรื่องราวอะไรไว้บ้าง ถ้าอยากรู้ ตามแอดมาเลยค่ะ.กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อที่ตั้ง: 91 หมู่ 2 ต.หอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.โทร. 095 664 7134, 091 061 2024พิกัด: https://goo.gl/maps/zcx4aiEvwTLkt2rY6 ………………………………………………………………………….. จากผ้าขาวม้าย้อมสีเคมีในวันนั้น สู่ผ้าขาวม้าดารานาคีในวันนี้ กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ ก่อตั้งโดยคุณยายแว่น และคุณตาไล คำพุทธา เป็นกลุ่มทอผ้าดั้งเดิมของชุมชน ผ้าขาวม้าของทางกลุ่มจะเป็นลายสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งผืน และย้อมด้วยสีเคมีซึ่งทำให้ผ้าแข็งกระด้าง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผ้าขาวม้าแบบนี้ได้รับความนิยมน้อยลง สมาชิกหลายคนจึงเลิกทอผ้าและหันไปทำอาชีพอื่นแทน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนรุ่นใหม่อย่าง คุณแยม-สุพัตรา แสงกองมี เข้ามารับช่วงต่อ โดยเปลี่ยนจากการย้อมผ้าด้วยสีเคมี เป็นสีธรรมชาติและหมักโคลนจากแม่น้ำโขง สิ่งที่จุดประกายความคิดนี้ มาจากภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่เล่าให้ฟังถึงวิธีการย้อมผ้าสมัยโบราณ ที่จะนำฝ้ายไปต้มกับน้ำเปลือกไม้แล้วค่อยนำไปหมักโคลนคุณแยมจึงนำภูมิปัญญานี้มาปรับใช้ โดยนำพืชที่หาได้ในท้องถิ่นอย่าง ผลหมากค้อเขียว เปลือกต้นชมพู่ป่า และเปลือกต้นคูนราชพฤกษ์มาย้อมผ้า และใช้โคลนจากแม่น้ำโขงมาหมักให้ผ้านุ่มและสีติดทนยิ่งขึ้น จนกลายเป็นคำขวัญของกลุ่มที่ว่า … – ผลไม้พันปี (หมากค้อเขียว-การมีอายุยืนยาว)– นารีสีสวย (ชมพู่ป่า-มีเสน่ห์ดึงดูดใจ)– รวยได้รวยดี (ต้นคูนราชพฤกษ์-ความร่ำรวย มั่งคั่ง) – นาคีหมักโคลน (โคลนจากสะดือแม่น้ำโขง) ทำไมต้อง ดารานาคี คำว่า ดารานาคี เป็นการนำคำสองคำมารวมกัน ดารา เป็นชื่อคุณพ่อของคุณแยม และเป็นการเปรียบผ้าขาวม้าว่าเหมือนดวงดาว ส่วนคำว่า นาคี สื่อถึงความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค เพราะโคลนที่ใช้หมักนำมาจากแม่น้ำโขง กรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาตินั้นต้องใช้ความพิถีพิถันมากกว่าการย้อมสีเคมี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่า.มาดูวิธีการทำผ้าขาวม้าดารานาคีกันดีกว่าค่ะ เริ่มจากนำเปลือกไม้ทั้ง 3 ชนิด ไปต้มรวมกันเป็นเวลา 12 ชั่วโมง สีที่ได้จะเป็นสีดำ แต่ไม่ดำสนิท จากนั้นนำฝ้ายลงไปย้อมและทิ้งไว้จนหายร้อน จากนั้นนำฝ้ายไปหมักโคลนแม่น้ำโขงเพื่อให้นุ่มและสีติดทน โคลนที่ใช้เป็นโคลนธรรมชาติ อยู่ใกล้ชุมชน โคลนบริเวณนี้อยู่ในจุดที่เกิดบั้งไฟพญานาค ตามความเชื่อของชาวบ้าน และยังเป็นเส้นทางสัญจรของสัตว์ป่า โคลนจากจุดนี้มีความอุดมสมบูรณ์ และให้สีที่แตกต่างจากโคลนในบริเวณอื่น ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของผ้าดารานาคี เมื่อย้อมและหมักโคลนเสร็จแล้ว สีของฝ้ายจะออกมาเป็นสีเทา หลังจากนั้นก็นำไปทอเป็นผืนได้ นอกจากหมากค้อเขียว เปลือกต้นชมพู่ป่า และเปลือกต้นคูนราชพฤกษ์แล้ว ทางกลุ่มยังนำเปลือกต้นหมากมาย้อมเป็นสีน้ำตาล เพื่อสร้างสีสันและลายผ้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นโดยเวลาทอเป็นลายตารางแบบไม่เท่ากัน ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของผ้าขาวม้าดารานาคี อ่านมาถึงตรงนี้จะรู้เลยว่า กว่าจะได้ผ้าสักผืนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาสไปเที่ยวที่กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ อย่าลืมอุดหนุนสินค้าจากชุมชนกันนะคะ มีทั้งผ้าขาวม้าลายที่เป็นเอกลักษณ์กว่า 12 ลาย เช่น ลายผู้ว่า ลายน้ำไหล ลายสองฝั่งโขง และลายปทุมทิพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเสื้อ กางเกง หมวก และพวงกุญแจรูปน้องปลาวาฬ (หินสามวาฬ) สุดน่ารักให้เลือกชอปด้วย ใครชอบเสื้อผ้าสีเอิร์ธโทน ต้องมีเสียทรัพย์กันแน่นอน

ดารานาคี เสน่ห์ผ้าทอแห่งลุ่มน้ำโขง อ่านเพิ่มเติม

Wetland ดินแดนมหัศจรรย์

Wetland ดินแดนมหัศจรรย์ : 14 พื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) 1 พื้นที่ชุ่มน้ำพรุควนขี้เสียน.พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย มีลักษณะเป็นพื้นที่พรุไม้เสม็ดขาว มีกก หญ้ากระจูด กระจูดหนู ขึ้นอยู่หนาแน่น ตั้งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบสงขลา .ที่ตั้ง: เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง 2 พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ.เป็นบึงน้ำจืดที่มีลักษณะแคบยาว เกิดจากลำห้วยหลายสายไหลมารวมกัน โดยน้ำในบึงจะไหลลงสู่แม่น้ำสงคราม ก่อนไหลออกแม่น้ำโขง ในพื้นที่มีเกาะกลางบึง ได้แก่ ดอนแก้ว ดอนสวรรค์ ดอนโพธิ์ ดอนน่อง และนอกจากนี้บนเกาะยังมีป่าดิบแล้งที่ค่อนข้างสมบูรณ์อีกด้วย.ที่ตั้ง: อยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านต้อง ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา และตำบลบึงโขงหลง ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ  3 พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จังหวัดเชียงราย.เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทะเลสาบเชียงแสน มีการสำรวจพบพันธุ์ไม้ในพื้นที่กว่า 185 ชนิด เช่น ผักบุ้ง บอน หญ้าไซ บัวหลวง กก เป็นต้น เป็นพืชต่างถิ่น 15 ชนิด เช่น กระถินยักษ์ หญ้าชน บัวบก และมะระขี้นก เป็นต้น.ที่ตั้ง: ตำบลโยนก และตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 4 พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จังหวัดตรัง .บริเวณนี้มีระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก โดยสังคมพืชในพื้นที่ประกอบด้วย ป่าดิบชื้น ป่าชายหาด ป่าชายเลน และจัดเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบรูณ์ของหญ้าทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งหากินของพะยูน ซึ่งถือเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยอีกด้วย.ที่ตั้ง: ตำบลนาเกลือ ตำบลลิบง ตำบลหาดสำราญ อำเภอสิเกา อำเภอปะเหลียน และอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง 5 พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จังหวัดบึงกาฬ .กุดทิงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาน้ำจืดขนาดเล็กที่สำคัญหลายชนิด และยังพบปลาที่อยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการถูกคุกคาม เช่น ปลายี่สก หรือปลาเอิน ฯลฯ นอกจากนี้กุดทิงยังเป็นที่อยู่อาศัยของกุ้งน้ำจืด 3 ชนิด คือ กุ้งฝอยเล็ก กุ้งฝอยใหญ่ และกุ้งฝอยแดงด้วย .ที่ตั้ง : อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ 6 หมู่เกาะระ–เกาะพระทอง จังหวัดพังงา.จุดเด่นของที่นี่คือแนวปะการังน้ำลึก ที่มีความหลากหลายของชนิดปะการังมากกว่าที่อื่น มีการสำรวจพบแนวปะการังที่เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะรี เกาะไข่ เกาะกลาง เกาะเมี่ยง เกาะตารี และเกาะอื่นๆ โดยที่เกาะสุรินทร์มีแนวปะการังที่สมบูรณ์อยู่ที่อ่าวช่องขาด และอ่าวแม่บาย ปะการังที่พบมาก ได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังโขด ปะการังดอกเห็ด ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังดาวใหญ่ และปะการังไฟ เป็นต้น.ที่ตั้ง : อำเภอคุระบุรี และอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา 7 พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา .เป็นอ่าวตื้นที่ล้อมรอบด้วยป่าชายเลนขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 132,381 ไร่ โดยบริเวณอ่าวพังงาประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 42 เกาะ เช่น เกาะเขาเต่า เกาะพระอาดเฒ่า เกาะมะพร้าว เกาะปันหยี เกาะเขาพิงกัน เป็นต้น ถ้าเพื่อนๆ ไปที่จุดชมวิวเสม็ดนางชี ก็จะสามารถมองเห็นพื้นที่บางส่วนของแนวป่าชายเลนและหมู่เกาะต่างๆ ได้อย่างชัดเจน.ที่ตั้ง : อำเภอเมือง และอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา 8 พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ จังหวัดกระบี่ .มีพื่นที่ครอบคลุมตั้งแต่สุสานหอย 75 ล้านปี เขตผังเมืองกระบี่ ป่าชายเลนหาดเลน เขาขนาบน้ำ หาดทรายลำคลองน้อมใหญ่หน้าเมืองกระบี่ ไปจนถึงป่าชายเลนและหญ้าทะเลผืนใหญ่ในบริเวณเกาะศรีบอยา  ที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของนกอพยพที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย พบนกอย่างน้อย 101 ชนิด เป็นนกประจำถิ่นอย่างน้อย 53 ชนิด เช่น นกยางเขียว นกนางนวลแกลบหงอนใหญ่ เหยี่ยวขาว เป็นต้น .ที่ตั้ง: อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ 9 พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี.หมู่เกาะอ่างทองประกอบด้วยเกาะต่างๆ ประมาณ 42 เกาะ ทั้งหมดเป็นเกาะขนาดเล็กและขนาดกลางตั้งอยู่เป็นกลุ่มเกาะกลางทะเล ส่วนใหญ่เป็นเขาหินปูนมีแนวหน้าผาสูงชันตั้งดิ่งจากพื้นที่น้ำทะเล นอกจากความอุดมสมบูรณ์ของโลกใต้ทะเลแล้ว ป่าไม้บนแนวเขาก็ค่อยข้างอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าประจำถิ่นและนกอพยพกว่า 100 ชนิดเช่นกัน .ที่ตั้ง : ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 10 พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม .ดอนหอยหลอดเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเล มีลักษณะเป็นดินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนปากแม่น้ำและตะกอนน้ำทะเลบริเวณปากแม่น้ำกลอง ทำให้แผ่นดินขยายออกไปในทะเลประมาณ 8 กิโลเมตร.จุดเด่นของที่นี่คือหาดเลน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหอยหลอด เอกลักษณ์สำคัญของพื้นที่ และยังมีหอยอีกหลายชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและในภูมิภาค.ที่ตั้ง: อยู่ในพื้นที่ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางแก้ว และตำบลคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม 11 พื้นที่ชุ่มน้ำเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ( พรุโต๊ะแดง ) จังหวัดนราธิวาส .พรุโต๊ะแดงเป็นป่าพรุผืนใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่ยังคงเหลืออยู่ มีคุณค่าต่อการศึกษาวิจัยและการท่องเที่ยว ท้องถิ่นและชุมชนได้ประโยชน์โดยตรงจากการเก็บของป่า เช่น หวาย หลุมพี น้ำผึ้ง เพื่อเป็นรายได้ของชุมชน ที่นี่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงทั้งพืชและสัตว์ มีการสำรวจพบสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น นกตะกรุม นกฟินฟุท นกเปล้าใหญ่ เต่าหับ เต่าดำ ตะโขง และจระเข้น้ำเค็ม เป็นต้น.ที่ตั้ง: อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส 12 พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ .เพื่อนๆ หลายคนน่าจะเคยไปเที่ยวที่สามร้อยยอดกันมาบ้างแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าที่นี่ประกอบด้วยระบบนิเวศที่หลากหลายทั้งระบบนิเวศบก ป่าเขาหิน และระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำได้แก่ บึงน้ำจืด ป่าชายเลน หาดโคลน และหาดทรายชายทะเล  โดยป่าชายเลนจะอยู่บริเวณปากคลอง ซึ่งมีพันธุ์ไม้ขึ้นอยู่เป็นแนวแคบๆ ตามชายคลองบริเวณทางออกทะเล เช่น แสมทะเล โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก ลำพู เหงือกปลาหมอดอกขาว หญ้าน้ำเค็ม ฯลฯ ส่วนบริเวณที่ลุ่มน้ำกร่อยจะมีสังคมพืชทนเค็ม

Wetland ดินแดนมหัศจรรย์ อ่านเพิ่มเติม

พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ชีวิต : Wetlands ดินแดนมหัศจรรย์

พื้นที่ชุ่มน้ำ…พื้นที่ชีวิต : Wetlands ดินแดนมหัศจรรย์ 1. พื้นที่ชุ่มน้ำพรุควนขี้เสียน ที่ตั้ง: เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง 2. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ที่ตั้ง: อยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านต้อง ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกาตำบลบึงโขงหลง ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ 3.พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม  ที่ตั้ง: อยู่ในพื้นที่ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางแก้ว และตำบลคลองโคนอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม 4. พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ จังหวัดกระบี่  ที่ตั้ง: อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ 5. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จังหวัดเชียงราย ที่ตั้ง: ตำบลโยนก และตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 6. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ( พรุโต๊ะแดง ) จังหวัดนราธิวาส  ที่ตั้ง: อำเภอตากใบ สุไหงโก-ลกและสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส 7. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม – เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง – ปากน้ำตรัง จังหวัดตรัง  ที่ตั้ง: ตำบลนาเกลือ ตำบลลิบง ตำบลหาดสำราญ อำเภอสิเกาอำเภอปะเหลียน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง  8. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากคลองกะเปอร์-ปากแม่น้ำกระบุรี จังหวัดระนอง ที่ตั้ง: อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง และอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา 9. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ตั้ง : ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 10. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา  ที่ตั้ง : อำเภอเมือง อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา 11.พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ที่ตั้ง : อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 12.พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จังหวัดบึงกาฬ  ที่ตั้ง : อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ 13. พื้นที่ชุ่มน้ำเกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช  ที่ตั้ง : อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช 14. หมู่เกาะระ–เกาะพระทอง จังหวัดพังงา ที่ตั้ง : อำเภอคุระบุรีและอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา

พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ชีวิต : Wetlands ดินแดนมหัศจรรย์ อ่านเพิ่มเติม

ภูทอก บันไดไม้แห่งศรัทธาสู่ภูเขาแห่งธรรม

ภูทอก ตั้งอยู่ที่บ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ เป็นภูเขาหินทรายที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล เชิงภูทอกเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก บันไดทางขึ้นภูทอกมี 7 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะเป็นสะพานไม้สลับกับบันไดไม้เวียนรอบเขา ตลอดทางเดินจะผ่านป่า โขดหิน และบางช่วงทางเดินจะลัดเลาะเรียบริมหน้าผา ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว การเดินบนสะพานไม้เลียบริมหน้าผา ควรเดินด้วยความระมัดระวัง ไม่วิ่งเล่นหรือยืนพิงระเบียงไม้ เพราะอาจเกิดอันตรายพลัดตกลงไปได้ แม้บางช่วงของทางเดินจะค่อนข้างหวาดเสียว แต่ทิวทัศน์สวยงามที่ได้ชมนั้นแสนจะคุ้มค่า มีลานหินริมหน้าผาสำหรับชมวิว มองลงไปจะเห็นเจดีย์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ตั้งเด่นสง่าอยู่เบื้องล่าง นอกจากนี้ยังมองเห็นบ้านเรือนของชาวบ้านในเขตอำเภอศรีวิไล ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพปลูกพืชไร่และยางพารา ไฮไลท์เด่นของภูทอก คือ พุทธวิหาร ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลก คือ เป็นหินที่แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่างได้ฉากกับพื้นโลกพอดี คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า ภูทอก เปิดให้ขึ้นไปชมทุกวัน และจะปิดในวันที่ 10-16 เมษายน ของทุกปี (ช่วงสงกรานต์) สำหรับการเดินทางจากตัวเมืองบึงกาฬ ใช้ทางหลวงหมายเลข 222 ถึงอำเภอศรีวิไล มีทางแยกซ้ายอีก 30 กิโลเมตร ผ่านบ้านอู่คำ บ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม บ้านแสงเจริญ สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอก

ภูทอก บันไดไม้แห่งศรัทธาสู่ภูเขาแห่งธรรม อ่านเพิ่มเติม

สวนสนุกสไลเดอร์ สนามเด็กเล่นแดนอีสาน

“สวนสนุกสไลเดอร์ น้ำตกถ้ำพระ จ.บึงกาฬ สนามเด็กเล่นแดนอีสาน” เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.ที่ตั้ง : บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬพิกัด : https://goo.gl/maps/dGaxQSxwKRJ2 น้ำตกถ้ำพระ ตั้งอยู่ที่บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว แต่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์ป่าถ้ำพระ ซึ่งเข้ามาดูแลและจัดการด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตกถ้ำพระเป็นน้ำตกที่อยู่ในป่า เพื่อนๆ จำเป็นจะต้องจอดรถไว้ที่ท่าเรือแล้วนั่งเรือรับจ้างของชาวบ้านเข้าไปค่ะ ซึ่งการนั่งเรือเข้าไปนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ค่าเรือไป-กลับคนละ 20 บาท ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 500 เมตร ระหว่างที่นั่งเรือเข้าไป เพื่อนๆ จะได้เห็นความเขียวขจีของพืชพรรณต่างๆ ที่ขึ้นรายล้อมอยู่ตลอดสองข้างทาง น้ำตกถ้ำพระเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มี 3 ชั้น จะมีน้ำมากในช่วงฤดูฝนเท่านั้น เมื่อเดินไปถึงเราจะพบกับน้ำตกชั้นแรก ซึ่งอยู่บริเวณด้านล่าง น้ำตกชั้นนี้น้ำจะค่อนข้างลึกเพราะก้นมีลักษณะเป็นแอ่ง วัยรุ่นจึงนิยมไปกระโดดน้ำเล่นกัน เหมาะสำหรับคนว่ายน้ำเป็นเท่านั้นนะคะ น้ำตกชั้นที่ 2 เป็นลำธารหลายสาย มีน้ำไหลแรง แต่เป็นแอ่งน้ำตื้น จึงมีนักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และไฮไลท์ของน้ำตกถ้ำพระก็อยู่ที่นี่ค่ะ “สไลเดอร์ธรรมชาติ” เป็นแนวร่องน้ำที่ไหลไปตามโขดหิน เราสามารถสไลด์ตัวลงมาตามร่องน้ำได้ และนี่เองเป็นที่มาของคำว่า “สวนสนุกจากธรรมชาติ” ค่ะ แต่การเล่นสไลเดอร์นี้ควรทำในช่วงที่น้ำไม่แรงมาก และต้องใช้ระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุค่ะ ในชั้นนี้เพื่อนๆ จะเห็นพระพุทธรูป 2 องค์ ประดิษฐานอยู่ตรงหน้าผาฝั่งตรงข้ามน้ำตก ซึ่งบริเวณดังกล่าวชาวบ้านเรียกกันว่า “ถ้ำพระ” เป็นที่มาของชื่อน้ำตกถ้ำพระนั่นเองค่ะ พระพุทธรูปนี้สร้างโดยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สามารถกราบไหว้ขอพรได้ มีคนแอบกระซิบมาว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ เลย หากแรงยังเหลือแอดแนะนำให้เดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ค่ะ ซึ่งจะอยู่เหนือฝายขึ้นไป ที่ชั้นนี้เพื่อนๆ จะได้เห็นน้ำตกไหลจากหน้าผาลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง สวยงามมากๆ เลยค่ะ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปตรงบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก เพราะน้ำตกที่ตกลงมาจะมีละอองสีขาวนวล ตัดกับฉากหลังที่เป็นท้องฟ้าสดใสสีคราม เป็นภาพประทับใจที่ทุกคนอยากบันทึกไว้ในความทรงจำค่ะ  เดือนนี้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน หากเพื่อนๆ คนไหนมีโอกาสไปเที่ยวที่ จ.บึงกาฬ แอดก็อยากจะฝากสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของเพื่อนๆ ด้วยนะคะ และนี่ก็คือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในช่วงหน้าฝน ที่รังสรรค์มาให้เราได้เชยชมกันค่ะ

สวนสนุกสไลเดอร์ สนามเด็กเล่นแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top