พิษณุโลก

พิษณุโลก

เที่ยวพิษณุโลก 3 วัน 2 คืน

เที่ยวพิษณุโลก 3 วัน 2 คืน.วันที่ 1– น้ำตกหมันแดง– โรงเรียนการเมืองการทหาร– กังหันน้ำ– ลานหินแตก.วันที่ 2– ทุ่งดอกเปราะภู– ลานหินปุ่ม– ผาชูธง– ล่องแก่งลำน้ำเข็ก– สวนบัวอมรรัตน์.วันที่ 3– วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร– วัดนางพญา วันที่ 1.ในวันแรกเราจะเดินทางไปที่ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” กันค่ะ สำหรับอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์นั่นเองค่ะ.ซึ่งที่นี่ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย แต่ก่อนอื่นเรามาเริ่มต้นที่ “น้ำตกหมันแดง” กันก่อนดีกว่าค่ะ น้ำตกหมันแดง เป็นน้ำตกที่มีความงดงามมากที่สุดของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีทั้งหมด 32 ชั้น แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่บริเวณชั้น 1 ถึง 9 เท่านั้น.สำหรับการเดินทางไปยังน้ำตกหมันแดงนั้นจะต้องเดินเท้าเข้าไป ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงและจำเป็นจะต้องให้เจ้าหน้าที่ของทางอุทยานนำทางเท่านั้นนะคะ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยนั่นเองค่ะ สำหรับจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปชมกันมากที่สุด ก็คือบริเวณชั้น 5 ค่ะ เนื่องจากในชั้นนี้นอกจากจะได้ชมความสวยงามของน้ำตกแล้วยังจะได้ได้พบกับ “ดอกลิ้นมังกรสีชมพู” อีกด้วย ดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้ที่หาชมได้ยาก มักบานในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคมของทุกปี ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะบานประมาณปลายเดือนสิงหาคมค่ะ.เพื่อนๆ ที่สนใจจะเดินทางไป แอดขอแนะนำให้โทรไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณ 3-5 วันนะคะ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้เตรียมอำนวยความสะดวกให้เรานั่นเองค่ะ  สถานที่ต่อมาเป็น “โรงเรียนการเมืองการทหาร” ค่ะ โรงเรียนการเมืองการทหารมีลักษณะเป็นบ้านไม้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ให้การศึกษาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย.สำหรับที่แห่งนี้ หากเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันในช่วงฤดูหนาวก็จะได้พบกับใบเมเปิล ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดงและร่วงหล่นลงมาจนทำให้เกิดเป็นภาพที่น่าชมมากค่ะ ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร เพื่อนๆ จะพบกับ “กังหันน้ำ” ที่สร้างขึ้นโดยนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หนีเข้าป่าภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ค่ะ สถานที่สุดท้ายของวันนี้เราจะไปยัง “ลานหินแตก” กันค่ะ ลานหินแตกมีลักษณะเหมือนแผ่นดินที่แยกแตกเป็นแนว เป็นร่อง สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลกนั่นเองค่ะ.ซึ่งในบริเวณนี้เพื่อนๆ สามารถเดินชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและถ่ายรูปเล่นได้ค่ะ  วันที่ 2.ในเช้าวันนี้เรายังอยู่กันที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าค่ะ แอดแนะนำให้ตื่นเช้าหน่อยนะคะ เพราะเราจะไปชมความงามของ “ทุ่งดอกเปราะภู” กัน .ดอกเปราะภู เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องไปชมเมื่อมาเยือนอุทยานภูหินร่องกล้า ดอกเปราะภูมีลักษณะเป็นสีขาว มักจะผลิบานในช่วงหน้าฝนหรือประมาณเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ของทุกปี.จุดที่นิยมไปชม จะอยู่ตรงบริเวณทางเดินเข้าไปยังลานหินปุ่มนั่นเองค่ะ และนอกจากความงามของดอกเปราะภูแล้วเพื่อนๆ ยังจะได้สัมผัสกับไอหมอกที่ปกคลุมทุ่งแห่งนี้ในยามเช้าอีกด้วยค่ะ เมื่อเดินผ่านทุ่งดอกเปราะภูมาแล้ว เพื่อนๆ ก็จะพบกับ “ลานหินปุ่ม” ลานหินที่มีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่มกลมๆ ซึ่งขนาดของแต่ละปุ่มนั้นจะแตกต่างกันไป คาดว่าอาจเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินนั่นเอง.หากเพื่อนๆ ชื่นชอบในการชมวิว  แอดคิดว่าบริเวณนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ห้ามพลาดเลยล่ะค่ะ  ถัดมาเป็น “ผาชูธง” ผาแห่งนี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล นอกจากนี้ผาชูธงยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งด้วยค่ะ .อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกเปิดเวลา 08.00-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาทโทร 081 596 5977  ต่อมาเราจะไปล่องแก่งที่ “ลำน้ำเข็ก” กันค่ะ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดล่องแก่งยอดนิยมของจังหวัดพิษณุโลก เพราะตลอดเส้นทางจะได้สัมผัสกับความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา.ลำน้ำแห่งนี้เป็นลำน้ำที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีแก่งมากถึง 18 แก่งและมีระยะทางยาวถึง 8 กิโลเมตร ดังนั้นจึงใช้เวลาล่องประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งความรุนแรงก็จะแตกต่างกันไปตั้งแต่ระดับ 1-5 สลับกันตลอดทั้งเส้นทาง  ช่วงเวลาที่นิยมล่องแก่งก็คือ ระหว่างเดือนกรกฎาคม – ตุลาคมของทุกปี หากเพื่อนๆ คนไหนที่ชอบความท้าท้าย แอดว่าการพิชิตลำน้ำเข็กก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ.ปล.การล่องแก่งลำน้ำเข็ก มีผู้ประกอบการให้บริการหลายเจ้า สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพิษณุโลก โทร. 055 252 742-3.ล่องแก่งลำน้ำเข็กที่ตั้ง สะพานข้ามลำน้ำเข็กบ้านท่าข้าม ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก  หลังจากสนุกสนานกันอย่างหนักหน่วงกับการพิชิตลำน้ำเข็กแล้ว เรามาเที่ยวแบบสบายๆ กันต่อที่ “สวนบัวอมรรัตน์” ดีกว่าค่ะ.บัวของที่นี่ คือ บัวพันธุ์วิคตอเรีย หรือบัวกระด้งยักษ์ เป็นบัวที่สามารถรองรับน้ำหนักของคนที่ลงไปยืนอยู่ตรงกลางบัวได้อย่างสบายๆ เลยล่ะค่ะ .สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะลงไปถ่ายรูปคู่กับบัวกระด้งยักษ์นี้ก็สามารถทำได้นะคะ โดยจะเสียค่าบริการ สำหรับผู้ใหญ่คนละ 100 บาท เด็กคนละ 50 บาทค่ะ แต่หากเข้าไปชมบัวอย่างเดียวก็จะเสียค่าเข้าชมคนละ 10 บาทเท่านั้นค่ะ.สวนบัวอมรรัตน์ ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกเปิดเวลา 08.00-17.00 น.ค่าเข้าชมคนละ 10 บาทโทร. 083 162 0988 วันที่ 3.เมื่อมาเยือนถึงจังหวัดพิษณุโลกทั้งทีหากเราจะไม่แวะเข้าไปกราบไหว้ขอพร “พระพุทธชินราช” ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดใหญ่” ก็เหมือนมาไม่ถึง.เพราะพระพุทธรูปองค์นี้คือพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวพิษณุโลก อีกทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยค่ะ   พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่หล่อด้วยสำริด มีอายุเก่าแก่มากกว่า 600 ปี ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในโลก ดังนั้นจึงทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปชมและสักการบูชากันเป็นจำนวนมาก.วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ถนนพุทธบูชา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกเปิดเวลา 06.30-18.00 น. และสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ก็คือ “วัดนางพญา” สำหรับวัดแห่งนี้ถือเป็นอีกวัดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อจังหวัดพิษณุโลกเป็นอย่างมาก.สันนิษฐานว่าผู้สร้างคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระมเหสีของพระมหาธรรมราชา หรือพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั่นเองค่ะ  ภายในพระอุโบสถของวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระสมเด็จนางพญาเรือนแก้ว พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่งของชาวพิษณุโลก.นอกจากนี้วัดนางพญายังมีชื่อเสียงในด้านพระเครื่อง คือ พระนางพญา สุดยอดเบญจภาคีที่ขึ้นชื่อในด้านเมตตามหานิยม .วัดนางพญา ถนนจ่าการบุญ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกเปิดเวลา 07.00-17.00 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 31 กรกฎาคม […]

เที่ยวพิษณุโลก 3 วัน 2 คืน อ่านเพิ่มเติม

ทุ่งดอกกระดาษ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

ทุ่งดอกกระดาษหรือทุ่งบานไม่รู้โรย ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก เป็นโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า และเพาะชำกล้าไม้ ดอกกระดาษเป็นพรรณไม้กลางแจ้งประเภทไม้ประดับ ที่มักพบตามที่สูงในภาคเหนือ เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่ชอบอากาศเย็น อีกทั้งยังดูแลง่าย ใช้เวลาปลูกเพียง 3 เดือน ก็ออกดอกแล้ว ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม – มีนาคมของทุกปี ดอกกระดาษหลากสีสันจะเบ่งบานปะทะลมหนาว รอให้เราไปชมความสวยงาม ซึ่งทุ่งดอกกระดาษแห่งนี้นับเป็นทุ่งดอกกระดาษที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในไทยเลยทีเดียว ดอกกระดาษที่นี่ขึ้นสลับกับแนวหินผาขนาดปานกลางที่ตั้งอยู่เรียงกัน ซึ่งแต่ละผาจะมีชื่อเรียกเกี่ยวกับความรักที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ผาพบรัก ผาบอกรัก ผารักยืนยง เป็นต้น นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของโครงการฯ ที่อยากให้เพื่อนๆ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก จากหน้าผาด้านบนจะมีทางเดินลงมาด้านล่าง ซึ่งเพื่อนๆ จะพบกับดอกกระดาษชูช่อสวยงามเรียงรายเป็นแนวยาวตลอดทางเดินเลาะริมผา การเดินทางจากตัวเมืองพิษณุโลก ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) ถึงสามแยกบ้านแยง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 ไปประมาณ 28 กิโลเมตร จะถึงแยกร่องกล้า อ.นครไทย จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2331 อีกประมาณ 31 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (เป็นทางผ่านก่อนขึ้นไปภูลมโล)  เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562

ทุ่งดอกกระดาษ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ่านเพิ่มเติม

พังกี่ข้าวมันไก่ เลื่องลือความอร่อยจังหวัดพิษณุโลก

ร้านพังกี่ข้าวมันไก่ เป็นร้านชื่อดังของจังหวัดพิษณุโลก ที่เก่าแก่และเลื่องลือถึงความอร่อยถูกอกถูกใจลูกค้ามานานหลายสิบปี ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านข้าวมันไก่ธรรมดาๆ แต่ก็ต้องรอคิวกันเลยนะ ร้านนี้เน้นขายข้าวมันไก่เป็นหลัก ซึ่งความพิเศษของไก่ที่นี่อยู่ตรงเนื้อไก่ที่แห้ง ไม่เหนียว เคี้ยวง่าย มีทั้งไก่ไทยและไก่พันธุ์ให้เลือกสั่งกันได้ตามชอบ ไม่เพียงเท่านี้ ที่ร้านยังมีเมนูอีกหลากหลายที่จะต้องสั่ง อร่อยไม่แพ้ข้าวมันไก่เลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องในผัดพริก ต้มมะระผัดกาดดอง หรือไก่สับ เป็นต้น ร้านพังกี่ข้าวมันไก่มีทั้งหมด 3 สาขา ที่แอดไปลองมาเป็นสาขา 1 สาขาดั้งเดิม ซึ่งคนเยอะมาก ถ้าใครไม่อยากรอคิวนาน แอดแนะนำให้ไปทานที่สาขา 2 หรือ สาขา 3 ก็ได้จ้า อร่อยเหมือนกัน  ชามนี้คือต้องสั่ง ต้มมะระผักกาดดอง เห็นว่ามีมะระแบบนี้หลายคนอาจจะกลัวขม แต่บอกก่อนว่ารสชาติไม่ได้ขมอย่างที่คิดนะคะ เพราะมีรสเปรี้ยวของผักกาดดองเข้ามาช่วยตัดรสขมของมะระได้อย่างดีเลยล่ะ  ส่วนผสมของชามนี้จะมีมะระ ผักกาดดอง หมูสับ และตับหมู รวมอยู่ในน้ำซุปร้อนๆ ทานแล้วโล่งคอดีจังเลยค่ะ ข้าวมันไก่ไทยมาพร้อมน้ำจิ้มสูตรพิเศษของร้าน ซึ่งมีอยู่ 2 สูตรด้วยกัน ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบน้ำจิ้มพริกสด ที่รสชาติออกเปรี้ยว แตกต่างไม่เหมือนใคร อร่อยมากๆ เลยล่ะ หากแวะเวียนไปจังหวัดพิษณุโลกก็อย่าลืมฝากท้องไว้กับร้านข้าวมันไก่พังกี่อันเลื่องลือกันนะคะ ^^ พังกี่ข้าวมันไก่ มี 3 สาขา ได้แก่ สาขา 1 ที่ตั้ง : ถ.พญาเสือ หน้าซอยพญาเสือ 6 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลกเปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 13.00 น.โทร. 055 244 275พิกัด : https://goo.gl/maps/Jt7Fcwg6k122 สาขา 2 ที่ตั้ง : ประตูมอญ ถ.เอกาทศรถ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลกเปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 13.00 น.พืกัด : https://goo.gl/maps/WzLAPfZrc912 สาขา 3 ที่ตั้ง : ถ.ไชยานุภาพ ไม่ไกลจากภัทธารารีสอร์ท ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 13.00 น.โทร. 081 785 1403พิกัด :https://goo.gl/maps/Qjpw8wUxouF2

พังกี่ข้าวมันไก่ เลื่องลือความอร่อยจังหวัดพิษณุโลก อ่านเพิ่มเติม

ชวนล่องแพแก่งไฮ จังหวัดพิษณุโลก

การเดินทางจากอำเภอเมืองพิษณุโลกมุ่งหน้าอำเภอนครไทย เลี้ยวซ้ายที่แยกบ้านแยง ไปตามทางเรื่อยๆ จนเจอป้ายแก่งไฮ เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายบอกทาง พร้อมแล้วก็ไปล่องแพกัน! เรือหางยาวจะลากแพพาเราออกไปกลางอ่างเก็บน้ำ ให้ได้พักผ่อน เล่นน้ำ ตกปลา รวมทั้งยังมีอาหารเดลิเวอรี่ สั่งปุ๊บมาส่งถึงที่ ราคาสบายกระเป๋าด้วย^^ แพของที่นี่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น โดยใช้ไม้ไผ่นำมาต่อเป็นแพและมุงหลังคาด้วยหญ้าคา บนแพมีอุปกรณ์ความปลอดภัย ทั้งเสื้อชูชีพและห่วงยางให้ เพื่อความปลอดภัยในการลงเล่นน้ำ เนื่องจากน้ำค่อนข้างลึก และยังเน้นย้ำให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดอีกด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านสะดวกซื้อและห้องน้ำไว้คอยบริการอย่างครบครัน สำหรับการล่องแพแก่งไฮ สามารถมาล่องแพเล่นน้ำได้ตั้งแต่ 09.00 – 18.00 น. หากอยากพักค้างคืนที่นี่ก็ย่อมได้ เพราะเค้ามีบ้านพักที่รองรับได้ถึง 10-15 คน มากับเดอะแก๊งรับรองสนุกแน่นอน ทำอาหารก็ได้ ตกปลาก็ดี ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็จะฟินๆ หน่อย ได้มาสูดอากาศเย็นๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ล้อมรอบด้วยขุนเขา สดชื่นสุดๆ ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook ล่องแพแก่งไฮ at ไฮแลนด์ ส่วนใครที่ชอบกางเต็นท์พักแรม ที่นี่ก็มีบริการจ้า เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งชมพระอาทิตย์ตก ในช่วงแดดร่มมลมตก ก็ชิลไปอีกแบบ ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook ล่องแพแก่งไฮ at ไฮแลนด์ สำหรับผู้ที่สนใจล่องแพแก่งไฮ มีผู้ประกอบการหลายรายให้บริการ ได้แก่ 

ชวนล่องแพแก่งไฮ จังหวัดพิษณุโลก อ่านเพิ่มเติม

9 จุด ถ่ายรูปกับ เขา

1. เขาโปกโล้น ร่องเขานครชุม จ.พิษณุโลก เขาโปกโล้น ตั้งอยู่ที่ตำบลนครชุม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เป็นจุดชมวิวธรรมชาติและทะเลหมอก ระยะทางเดินขึ้นไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที ถ้าโชคดีในช่วงเช้าเราจะเห็นทะเลหมอก ซึ่งในฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกทุกวันเลยนะ แต่ถ้าไม่มีหมอก เราก็ถ่ายรูปกับเขาก็ได้ สวยเหมือนกัน ฮ่าๆ และตามเส้นทางเดินยังมีจุดสำคัญให้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นบ่อเสือตก น้ำบ่อศักดิ์สิทธิ์ และถ้ำผาปอง เป็นต้น  สำหรับที่พัก แอดแนะนำให้พักที่โฮมสเตย์ในอำเภอนครชุม เพราะเราจะต้องตื่นเช้า ประมาณ 05.00 น. เพื่อเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่เขาโปกโล้นกัน ราคาโฮมสเตย์ 450 บาท/คน มีอาหารให้ 2 มื้อ คือมื้อเย็นและมื้อเช้า  ถ้าหากพร้อมแล้วและสนใจพิชิตทะเลหมอกติดต่อ อบต.นครชุม โทร 055 009 808 การเดินทาง ไปตามเส้นทางพิษณุโลก-นครไทย จากนั้นขับรถไปที่ตำบลนครชุม ประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกประมาณ 100 กิโลเมตรพิกัด : https://goo.gl/maps/qfZa5MPvr8Q2 2.จุดชมวิวบ้านจ่าโบ่ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินถ่ายรูป ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ท่ามกลางหุบเขาและวิวทะเลหมอกแบบนี้  นั่งถ่ายรูปสวยๆ กินบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและอากาศบริสุทธิ์ เติมพลังกันให้เต็มที่ไปเลย บ้านจ่าโบ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอปายมากนัก ใช้เวลาเดินทางจากอำเภอปายประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าใครที่ไปเที่ยวปาย ก็อย่าลืมแวะไปด้วยนะครับผม การเดินทางจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนวิ่งตามทางหลวงหมายเลข 1095 ไปทางอำเภอปางมะผ้า จนถึงแยกจุดตรวจแม่ละนา ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1226 อีก 3.5 กิโลเมตร จะถึงจุดชมวิวบ้านจ่าโบ่พิกัด : https://goo.gl/maps/yvUfLiyGYex 3.เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี หรือที่ใครๆ รู้จักกันดีว่า “เขื่อนเชี่ยวหลาน” อันเป็นชื่อดั้งเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเขื่อนรัชชประภาในปัจจุบัน สำหรับเขื่อนรัชชประภานั้น มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ภายในทะเลสาบเหนือเขื่อนเต็มไปด้วยภูเขาหินปูนธรรมชาติที่มีรูปร่างต่างๆ แปลกตา สวยงามลงตัวราวกับบรรจงสร้างมาให้เราเข้าไปชมเลยล่ะ  ไปยืนถ่ายรูปที่หัวเรือ โพสท่าเก๋ๆ คู่กับภูเขาหินปูน เอามาไว้โพสต์อวดเพื่อนๆ ในโซเชียล กิจกรรมที่น่าสนใจ– นอนเล่นกลางแพชมวิวทะเลสาบ อ่านหนังสือเล่มโปรด ฟังเพลงเบา ๆ – ล่องเรือชมธรรมชาติเหนือเขื่อน ชมเขาสามเกลอ หนึ่งในไฮไลท์ของภูเขาหินปูนที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำ– พายเรือคายักหรือแคนู ซึ่งที่พักบางแห่งจะจัดไว้บริการนักท่องเที่ยว– ท่องถ้ำน้ำทะลุ ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ 6 กิโลเมตร เป็นถ้ำใหญ่ที่มีธารน้ำไหล มีหินงอกหินย้อยที่งดงาม การเดินเที่ยวถ้ำจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง การเดินทางจากอำเภอเมืองฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 401 แยกเข้าสู่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ขส.2 (เชี่ยวหลาน) ตรงหลักกิโลเมตรที่ 60 ระยะทาง 14 กิโลเมตรพิกัด : https://goo.gl/maps/kXnARbdFFuv 4.เสม็ดนางชี จ.พังงา มาพังงาทั้งที ถ้าไม่ได้ไปเสม็ดนางชีถือว่าพลาด ถ้ามีโอกาสแอดอยากจะแนะนำให้ขึ้นไปชมวิวสุดประทับใจ ถ่ายรูปคู่กับทิวทัศน์สวยๆ ที่นี่ซักครั้ง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปกางเต็นท์นอนค้างแรมเพื่อรอชมกลุ่มดาวเต็มท้องฟ้า และเมื่อเช้าวันใหม่อันสดใสมาถึง ทิวทัศน์ของตะวันขึ้นที่อ่าวพังงาก็จะติดตาตรึงใจเพื่อนๆ ไปอีกนาน ด้านบนมีร้านอาหาร มีเมนูทั้งอาหารคาวและอาหารหวานให้เราได้เลือกทานอย่างหลากหลาย  หรือจะชมแสงสุดท้ายยามเย็น พร้อมนั่งทานอาหารสุดอร่อย ดื่มด่ำกับวิวธรรมชาติอันสวยงาม ขอบอกเลยว่าจะทำให้มื้ออาหารมื้อนี้ประทับใจไม่รู้ลืมเลยล่ะ การเดินทางจากตัวเมืองพังงา ใช้เส้นทางพังงา-โคกกลอย เข้าสู่อำเภอตะกั่วทุ่งไปยังบ้านท่าอยู่ สังเกตจะมีสะพานลอยอยู่ก่อนถึงทางเข้าบ้านท่าอยู่ และมีซอยเล็กๆ ให้เลี้ยวเข้าไป ขับตรงไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึงจุดจอดรถพิกัด : https://goo.gl/maps/CFH2LK5vscQ2 5.ม่อนครูบาใส อุทยานแห่งชาติแม่เมย จ.ตาก ม่อนครูบาใส อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นจุดชมทะเลหมอกยามเช้า วิวภูเขา และพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่มองเห็นดาวได้ชัดเจนอีกด้วย สามารถถ่ายรูปสวยๆ กับวิวสุดอลังการเก็บไปชมได้ไม่มีเบื่อเลยล่ะ ข้างบนนี้สามารถกางเต็นท์นอนได้ แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย เพราะฉะนั้นต้องเตรียมอาหาร น้ำ และสิ่งของจำเป็นต่างๆ ขึ้นไปให้เรียบร้อยนะครับ การเดินทางแนะนำให้ใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะช่วงนี้หน้าฝน ถนนอาจจะมีหลุมมีบ่ออยู่บ้าง และควรสอบถามกับทางอุทยานฯ ก่อนไปนะครับ ว่าเหมาะที่จะขึ้นไปเที่ยวหรือไม่ แต่ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกันหลายวัน ก็สามารถขึ้นได้ครับผม การเดินทางจากตัวเมืองตาก ไปตามทางหลวงหมายเลข 105 (เส้นทางแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง) ระยะทางประมาณ 114 กิโลเมตร เลี้ยวขวาที่จุดตรวจแม่สลิด ซึ่งเป็นทางที่จะตัดไปสู่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางขึ้นเขาไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานฯ (ทางขึ้นเขาเป็นทางลาดชัน รถบัสใหญ่ไม่สามารถขึ้นได้)พิกัด : https://goo.gl/maps/5nbbC1GW7b42 6.ดอยหัวหมด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จ.ตาก ยอดเขาหัวโล้นที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าและไม้ทนแล้ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น เป็นที่มาของชื่อ “ดอยหัวหมด” บ้างก็เรียกว่า “เขาหัวโล้น” ลักษณะเป็นภูเขาหินปูนทอดตัวเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน สามารถชมวิวได้รอบทิศ  ไฮไลท์เด่นของที่นี่คือ การชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกในยามเช้า ควรเดินทางมาถึงจุดชมวิวในช่วง 05.00-06.00 น.  ดอยหัวหมดเป็นเนินที่ไม่สูงมากและระยะทางเดินไม่ไกลมากนัก เดินกันได้ชิลๆ ถ่ายรูปกันได้เรื่อยๆ เลยล่ะ การเดินทาง จากตัวเมืองตาก ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 (ตาก-แม่สอด) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 96 เปลี่ยนมาใช้ทางหลวงหมายเลข 1090 (แม่สอด-อุ้มผาง) เข้าสู่อำเภออุ้มผาง มุ่งหน้าบ้านปะหละทะ บริเวณกิโลเมตรที่ 10-11 จะมีทางแยกซ้ายไปดอยหัวหมด ประมาณ 700 เมตร จะถึงจุดจอดรถพิกัด : https://goo.gl/maps/V1k4MoZt7FD2 7.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เมื่อมาถึงอำเภอเนินมะปรางกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ การไปชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี ที่บ้านมุง บอกเลยว่าภูเขาสวยอลังการมาก ถ่ายรูปออกมาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปในภาพยนตร์เรื่องอวตารกันเลยทีเดียว ถ้าจะให้ดีต้องลองนั่งรถอีแต๊กที่ชาวบ้านบริการ หรือนำจักรยานมาปั่นเองในช่วงยามเย็น จะได้สัมผัสบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกและธรรมชาติที่สวยงามบริเวณนั้น และยังสามารถรอชมฝูงค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำไปหากิน ตอนเวลาประมาณ 18.00-19.00 น. ได้อีกด้วยนะ หากใครอยากลองนั่งรถอีแต๊กชมภูเขาหินปูนล้านปี ติดต่อได้ที่ คุณพิษณุชัย ทรงพุฒิ โทร.

9 จุด ถ่ายรูปกับ เขา อ่านเพิ่มเติม

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า

“โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า”  เป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า เพาะชำกล้าไม้ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับราษฎร ภายในโครงการมีการปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ให้เราได้เที่ยวชมพร้อมทั้งได้ความรู้ไปในตัวอีกด้วย การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (สายพิษณุโลก – หล่มสัก) ถึงสามแยกบ้านแยง แยกขวาผ่านบ้านห้วยตีนตั่ง – บ้านห้วยน้ำไซ – ฐานพัชรินทร์ เข้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า รวมระยะทางประมาณ 31 กิโลเมตร (เป็นทางผ่านก่อนขึ้นไปภูลมโล) ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม–กุมภาพันธ์ ที่โครงการฯ จะเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่สวยงาม และยังมีทุ่งดอกกระดาษซึ่งจะบานสะพรั่งเรียงรายไปทั่วริมหน้าผาอีกด้วย  ภายในโครงการฯ ไม่มีที่พักหรือจุดกางเต็นท์ แต่สามารถพักได้ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร อัตราค่าบริการบ้านพักและเต็นท์บ้านหลังเล็ก ราคา 800 บาท พักได้ 2-3 คนบ้านหลังใหญ่ ราคา 1,000 บาท พักได้ 4-5 คน เต็นท์ หลังละ 225 บาท พักได้ 2-3 คน  ติดต่อจองบ้านพัก โทร. 081 596 5977 ไฮไลท์ของเรามาแล้ว…หน้าผาที่เราจะมาเช็คอินกัน แต่ละผาอยู่บรเิวณเดียวกัน ห่างกันประมาณ 5-10 เมตร ซึ่งทางโครงการฯ ได้ตั้งชื่อเก๋ๆ เกี่ยวกับความรักขึ้นมาเพื่อเป็นกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนได้มาถ่ายรูปกับชื่อผาต่างๆ กัน  เริ่มที่จุดแรกก็แฮปปี้แล้วค่ะ “ผาพบรัก” ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพบเจออะไรใหม่ๆ รวมไปถึงความรักด้วย ใครกำลังอินเลิฟ เชิญไปโพสต์ท่ากันรัวๆ เลย  รักใครชอบใครก็บอกเค้าไปเลย ^^ ชมวิวบน “ผาบอกรัก” โรแมนติกไม่เบา หากมาในช่วงฤดูหนาวก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งบานให้เราได้ชมกันด้วย เข้ากับบรรยากาศสุดๆ ถัดมาเป็น “ผาคู่รัก” เมื่อบอกรักกันไปแล้วก็ต้องเป็นคู่รักแล้วล่ะ จะมาเป็นคู่หรือมาเดี่ยวๆ ก็เที่ยวได้หมด มาสัมผัสบรรยากาศหน้าฝนแบบนี้ มันช่างดีต่อใจ “ผารักยืนยง”…แค่ชื่อก็แสดงถึงความมั่นคงแล้ว อย่าพลาดที่จะควงแขนคนที่คุณรักมาแชะภาพกันด้วยนะคะ  “ผาไททานิค” มาถึงผานี้ เชื่อว่าทุกคนต้องจินตนาการภาพแจ็คกับโรสในภาพยนตร์เรื่องไททานิค กำลังยืนกางแขนอยู่บนโขดหินนั้นเหมือนกันแน่ๆ ซึ่งความใหญ่โตของโขดหินก็เปรียบได้กับเรือไททานิคและความรักอันยิ่งใหญ่ของทั้งคู่นั่นเอง จุดสุดท้าย “ผาสลัดรัก” ชื่ออาจจะดูไม่ค่อยแฮปปี้กับความรักสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่มีความรักที่ดีอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าเราใช้โอกาสนี้สลัดความทุกข์ ความเศร้า ความกังวล และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกไปจากชีวิตดีกว่า ส่วนคนที่ผิดหวังกับความรัก ก็อย่าได้แคร์ สลัดมันทิ้งไป แล้วรอรับสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตกันเถอะ!!

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า อ่านเพิ่มเติม

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ

บ่อยครั้งที่เราเห็นผู้คนทำบุญด้วยความมุ่งหวังพร้อมกับการกราบไหว้บูชา เพื่อให้สมความปราถนา หรือพบกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในทุกๆประการ อันเป็นการเติมเต็มให้ชีวิตกลับมามีความหวัง มีกำลังใจ พร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอีกครั้ง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก.ความเชื่อ ประชาชนทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะหลวงพ่อใหญ่หรือองค์พระพุทธชินราชด้วยความศรัทธา โดยนับถือกันในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และถือกันว่าเป็นมงคลสูงสุดหากได้มากราบชมความงามของหลวงพ่อใหญ่สักครั้งในชีวิต นอกจากนี้ยังนิยมพากันไปไหว้พระเหลือในวิหารเล็ก ด้วยเกร็ดความเชื่อที่มีกันอย่างแพร่หลายว่าจะช่วยส่งเสริมด้านโชคลาภ จะได้มีทรัพย์สินเงินทอง เหลือกินเหลือใช้.วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า “วัดใหญ่” เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นศาสนสถานที่สำคัญยิ่ง ทั้งของจังหวัดพิษณุโลกและประเทศไทย .นอกจากนี้ยังมีวิหารพระเหลือ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระเหลือ” ซึ่งตามประวัตินั้นกล่าวว่าพระยาลิไททรงรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา มารวมกันแล้วหล่อไว้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็กและพระสาวกอีก 2 องค์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร.ความเชื่อ เชื่อในหมู่พ่อค้า คหบดี และประชาชนว่า หากมาสักการะพระแก้วมรกตด้วยดอกบัวคู่และธูปเทียนแล้ว ชีวิตจะมีแต่ความรุ่งเรืองมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ เงินทองไหลมาเทมา.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เป็นพระอารามประจำพระบรมหาราชวังที่สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดหลวงที่ไม่มีพระจำพรรษา และยังเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่พระมหากษัตรย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเสด็จมาประกอบพระราชพิธีสำคัญ และบำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชประเพณีนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย นอกจากพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายที่ทรงคุณค่าความงดงามทั้งทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ให้เราได้เข้าไปสักการะบูชา และชื่นชมในฝีมือของครูแห่งช่างโบราณที่อุทิศผลงานไว้เพื่อเป็นพุทธบูชาสืบทอดกันมาเป็นมรดกแห่งแผ่นดิน.วันและเวลาเปิด-ปิดเปิดให้สักการะทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น. ผู้ที่จะเข้าไปยังวัด ผู้ชายต้องแต่งกายสุภาพห้ามใส่เสื้อไม่มีแขนและงดใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่า ผู้หญิง ให้ใส่กางเกงหรือกระโปรงทรงสุภาพ กระโปรงต้องยาวคลุมเข่า งดเสื้อแขนกุด วัดลาดขาม (หลวงพ่อแสนเหรีญ) ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี.ความเชื่อ กล่าวกันว่า เมื่อได้มากราบไว้อธิษฐานหลวงพ่อแสนเหรียญซึ่งสร้างจากเงินเหรียญที่เป็นมงคล เหมือนกับได้อธิษฐานขอพรแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวยสืบไปพระพุทธเบญจนวมงคลกาญจน์แห่งวัดลาดขามนั้น เป็นพระพุทธรูปที่เลื่องลือในด้านของความศักดิ์สิทธิ์และความแปลกมหัศจรรย์ เนื่องจากองค์พระปฏิมากรนี้ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากเหรียญเงินตราต่างๆ จำนวนนับแสนเหรีญ ชาวบ้านจึงพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแสนเหรียญ” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับ อ.พนมทวน และเป็นที่นับถือศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน.วัดลาดขาม เป็นวัดที่ก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุนับร้อยปี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก วัดลาดขามก็กลายเป็นวัดร้างยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนวัด ต่อมาพระครูปลัดเพลิน เตชธมโม ได้จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และลงมือบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นมาด้วยแรงสนับสนุนจากผู้มีศรัทธาและชาวบ้านจนกลับมาเป็นศูนย์รวมแห่งพุทธศาสนิกชนใน อ.พนมทวนอีกครั้ง พระราหู วัดศีรษะทอง ต.ห้วยตะโก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม.ความเชื่อ เชื่อว่าการกราบไหว้ขอพรพระราหูนั้น เป็นการขอพรให้พ้นเคราะห์ต่างๆ และยังดลบันกาลให้เกิดโชคลาภ ช่วยให้การงานเจริญก้าวหน้า และเชื่อว่าพระราหูยังเป็นเทพบูชาประจำตัวเพื่อเสริมบารมีของคนที่เกิดวันพุธกลางคืนอีกด้วย สามารถไหว้พระราหูได้ทุกวัน ยกเว้นวันพระ.นับว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในอำเภอนครชัยศรี และวัดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของชาวลาวเวียงจันทน์และชุมชนใกล้เคียง เดิมเป็นป่ารกร้าง ต่อมาได้มีชาวลาวจากเวียงจันทร์อพยพมาตั้งถิ่นฐาน แล้วจึงสร้างวัด และได้พบเศียรพระพุทธรูปทองจมดินอยู่ จึงตั้งชื่อว่า “วัดหัวทอง” ภายหลังมีการขุดคลองเจดีย์บูชา ไปยังองค์พระปฐมเจดีย์ ชาวบ้านจึงย้ายมาอยู่ริมคลองเจดีย์บูชา ในการนี้ได้ย้ายวัดมาด้วยเพื่อสะดวกต่อการสัญจร และเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศีรษะทอง” จนถึงปัจจุบัน .วัดศีรษะทองได้พัฒนาและมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยของหลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ อดีตเจ้าอาวาส ท่านเป็นที่รู้จักเพราะเป็นต้นตำรับของการสร้างพระราหูอมจันทร์จากกะลาตาเดียว เครื่องลางที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และได้สร้างชื่อเสียงให้วัดศรีษะทองจนถึงทุกวันนี้.ปัจจุบันวัดศีรษะทองได้จัดสร้างพระราหูขนาดใหญ่ไว้ให้ประชาชนได้มาสักการะบูชาตามความเชื่อและความศรัทธาส่วนบุคคล ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี.ความเชื่อ เชื่อกันว่าเจ้าแม่นั้นมีอิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย ดวงวิญญาณของเจ้าแม่จะช่วยดลบันดาลให้การค้าขายนั้น มีอต่ความร่ำรวยละเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ ทำให้มีบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจและประชาชนทั่วไปนิยมมาบวงสรวงเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว.เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือที่เรียกว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในตัวเมืองปัตตานี เป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นที่สักการะไม่แต่ชาวปัตตานี รวมถึงชาวจังหวัดใกล้เคียง เช่น สงขลา-ยะลา-นราธิวาส ก็มีความศรัทธาในองค์เจ้าแม่อย่างมาก เนื่องจากมีผู้มาขอพรให้มีโชคลาภก็ได้ผลหรือแม้แต่เรื่องการค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้น จนทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก 

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวหน้าฝน เพชรบูรณ์ – พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน

ที่แรกเราออกจากกรุงเทพฯ พามาสูดไอดิน ฟินกับกลิ่นหมอกฝนกันที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง  อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีพื้นที่ครอบคลุมหลายอำเภอใน 2 จังหวัด ได้แก่ อ.วังทอง อ.นครไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก และ อ.เขาค้อ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์  บริเวณอุทยานฯ มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ปั่นจักรยานเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนา ชมฝูงผีเสื้อป่า ชมแมงกะพรุนน้ำจืด (แมงกะพรุนน้ำจืดหาชมได้เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน)  (ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทุ่งแสลงหลวง) กิจกรรมปั่นจักรยานมีให้เลือก 2 แบบ คือ ปั่นจักรยานชมทุ่งหญ้าสะวันนา เส้นทางหนองแม่นา-ทุ่งนางพญา ระยะทาง 15 กิโลเมตร หรือถ้าใครชอบ slow life ก็สามารถปั่นจักรยานชมธรรมชาติในบริเวณอุทยานฯ ได้  อุทยานฯ มีจักรยานให้เช่า ราคาชั่วโมงละ 50 บาท และทั้งวัน 200 บาท กิจกรรมชมฝูงผีเสื้อป่า เพื่อนๆ จะต้องเช่าเรือของชาวบ้านชุมชนหนองแม่นาเพื่อออกไปชมที่เกาะกลางน้ำ โดยฝูงผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวที่ลงมากินโป่งหรือแร่ธาตุในดิน จะมีให้ชมเยอะที่สุดในช่วงหน้าฝนนี้แหละ กลุ่มชุมชนหนองแม่นา โทร. 081 046 2166, 087 432 1714 (คุณสมพงศ์) ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 300 บาท การเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรี จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 21 จนถึงบ้านนางั่ว อำเภอหล่มสัก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2258 ขึ้นเขาค้อ วิ่งผ่านพระตำหนักเขาค้อ ตรงไปจนถึงหน่วยจัดการอุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวง ที่1 (หนองแม่นา) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 โมง วันแรกเราตั้งเต็นท์พักแรมกันที่อุทยานฯ โดยอุทยานฯ มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ 2 จุดคือ 1. บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หนองแม่นา – มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 2,100 – 5,000 บาท– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285 บาท (พักได้ 3 คน) – หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน  2. บริเวณที่ทำการอุทยานฯ – มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 1,000 – 5,000 บาท– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285บาท (พักได้ 3 คน) – หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน เช้าวันที่สองพวกเราออกจากอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปชมทุ่งกะหล่ำปลีกันที่ภูทับเบิก แอดใช้ทางหลวงหมายเลข 12 วิ่งกลับมาที่แยกน้ำก้อ ระหว่างทางจะผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มุมนี้ช่วงหน้าฝนสวยจริงๆ ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เพื่อนๆ สามารถเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยให้เหมาะสมกับสถานที่ บริเวณรอบๆ เจดีย์ เต็มไปด้วยภาพปริศนาธรรมหลากหลายที่แฝงไปด้วยหลักคำสอนมากมายให้ได้ศึกษาเรียนรู้ บริเวณระเบียงทางเดินชั้นบนของเจดีย์สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง รวมทั้งจะมองเห็นพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่มีสายหมอกพาดผ่านและทิวเขาอันสวยงามเป็นฉากหลัง  นอกจากนี้ เพื่อนๆ ยังสามารถเดินชมประติมากรรมต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดได้ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสวยงามไม่แพ้กัน  เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/9dhiz3Z34V52 จากสี่แยกบ้านน้ำก้อ พวกเราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2372 จากนั้นวิ่งตรงไปจนถึงแยกทับเบิก และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2331 วิ่งตรงขึ้นภูทับเบิก ภูทับเบิกเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง ที่เรียกได้ว่าเป็นไร่กะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่นี่จะปลูกกะหล่ำปลีลดหลั่นเป็นแถวเป็นแนวตามสันดอย เวลาออกดอกมองไปจะดูสวยงามเหมือนดอกไม้ยักษ์สีเขียวเต็มพื้นที่ไปหมด นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาชมแปลงกะหล่ำพร้อมทั้งถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้ไปโพสต์ให้ชาวโซเชียลได้รู้ว่า มาเยือนภูทับเบิกแล้ว  ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ…ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวภูทับเบิก หลังจากจุดนี้พวกเราลงจากภูทับเบิกและมุ่งหน้าไปต่อกันที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก โดยวิ่งต่อจากภูทับเบิกไปทางจุดชมวิวภูแผงม้า ทางหลวงหมายเลข 2331 จนถึงที่ทำการอุทยานฯ เช้าวันที่ 3 (ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทะเลหมอกลานหินปุ่ม) เมื่อวานจากภูทับเบิกเรามาถึงภูหินร่องกล้ากันในช่วงเย็น และค้างคืนกันที่อุทยานฯ  อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เป็นอุทยานฯ ที่อยู่บนพื้นที่รอยต่อของ 3 จังหวัด ในอดีตนั้นเคยเป็นสมรภูมิรบอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน วันเวลาผ่านไปควันไฟแห่งสงครามจางหาย เหลือเพียงความสงบ ร่มรื่น และความสวยงามของธรรมชาติป่าเขา จุดที่นักท่องเที่ยวไปแล้วต้องห้ามพลาดก็คือ ลานหินปุ่ม ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าจากลานจอดรถไปประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นลานหินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำเป็นบริเวณกว้างดูแปลกตา ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินโดยธรรมชาติ จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้อย่างเต็มตาและสวยงาม จากลานหินปุ่ม พวกเราพามาชมร่องรอยประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ภูหินร่องกล้าเคยเป็นฐานที่มั่นของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ เรียกกันว่า “โรงเรียนการเมืองการทหาร” อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 6 กิโลเมตร  ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านพักฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ และสถานพยาบาล กระจายตัวอยู่ใต้ร่มไม้แน่นทึบ ประมาณ 30 หลัง บริเวณใกล้เคียงยังมีสุสานทหาร และกังหันน้ำที่เป็นเครื่องทุ่นแรงในการตำข้าวโดยไม่ต้องใช้แรงงานคน ไว้ให้ชมและนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกด้วย ปิดท้ายกันด้วยความชุ่มฉ่ำ ช่วงฝนๆ แบบนี้ต้องไม่พลาดชมน้ำตกหมันแดง ความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในป่าใหญ่ น้ำตกมีทั้งหมด 8 ชั้น แต่ละชั้นจะอยู่ใกล้ๆ กันและมีความสวยงามแตกต่างกันไป ระยะทางไป-กลับน้ำตกรวมแล้วประมาณ 7 กิโลเมตร ดูแล้วต้องฟิตร่างกายกันมากเลยล่ะค่ะ *การเข้าไปชมน้ำตกหมันแดงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางด้วยนะคะ*  นอกจากลุยป่ากันไปชมน้ำตกหมันแดงแล้ว ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือ การชมดอกลิ้นมังกรนั่นเอง การชมดอกลิ้นมังกร จะต้องขึ้นไปที่น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 5 ระยะทางประมาณ 1-3 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้น ใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง

เที่ยวหน้าฝน เพชรบูรณ์ – พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวสองวัน ณ เมืองสองแคว

คำว่า “สองแคว” มาจาก จ.พิษณุโลกนั้นตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำน่าน กับแม่น้ำแควน้อยนั่นเอง เที่ยว สองวัน ณ เมือง สองแควตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวตามแบบเพื่อนร่วมทาง.วันแรก เช้า– วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร– ศาลสมเด็จพระนเรศวร– ศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์.บ่าย– นั่งชิงช้าบนต้นไม้รูปหัวใจ ที่บ้านสวนชมวิว บ้านรักไทย– ชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี อ.เนินมะปราง– ชมค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำ ที่บ้านมุง เนินมะปราง– พักตัวเมืองพิษณุโลก.วันที่สองเช้า– สักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อ.นครไทย– ชมต้นจำปาขาว 700 ปี ที่วัดกลาง อ.นครไทย– ล่องแพแก่งไฮ อ.นครไทย.บ่าย– ร้านกาแฟ Sappraiwan Elephant Cafe– เดินทางกลับ กทม เริ่มต้นกันด้วยการมากราบสักการะบูชาพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเมืองสองแควอย่าง พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวเมืองพิษณุโลกเรียกกันว่า วัดใหญ่ หรือ วัดพระศรี .พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศ.ด้านหลังวิหารพระพุทธชินราชเป็นพระปรางค์ประธาน ศิลปสมัยอยุธยาตอนต้น เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัยแท้ ต่อมาถูกแปลงให้เป็นพระปรางค์ในสมัยอยุธยา .ถ้าเพื่อนๆ ไปอยุธยา กับลพบุรี แล้วยังนึกภาพพระปรางค์ที่สมบูรณ์แบบในอดีตไม่ออก ต้องมาดูที่นี้เลย หลังจากไหว้พระคู่บ้านคู่เมืองสองแควกันแล้ว ก็อย่าลืมมาสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และปัจจุบันกรมศิลปากรได้จัดสร้างศาลาทรงไทยโบราณตรีมุข โดยมีพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขนาดเท่าองค์จริง ประทับนั่งพระหัตถ์ทรงพระสุวรรณภิงคารหลั่งน้ำ ในพระอิริยาบถประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ใกล้ๆกันอีกหนึ่งสถานที่ แนะนำเยี่ยมชมพระราชวังจันทน์พระราชวังโบราณ เป็นสถานที่เสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อทรงดำรงตำแหน่งอุปราช โดยในขณะนั้นเมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของกรุงศรีอยุธยา  นอกจากนี้ยังมีศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ เป็นอาคารจัดแสดงเนื้อหาที่เกียวกับพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก และพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากไปเที่ยววัด เที่ยววังกันในช่วงเช้าแล้ว บ่ายๆแบบนี้ไปหาอะไรสนุกๆทำกันดีกว่า…ไปนั่งชิงช้าบนต้นไม้รูปหัวใจชมวิวสวยๆกัน โดยจากตัวเมืองมุ่งหน้าสู่บ้านรักไทย อำเภอเนินมะปราง ชิงช้าต้นไม้ที่ว่านี้อยู่ที่บ้านสวนชมวิว หนึ่งในโฮมสเตย์ของบ้านรักไทย ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาพักโฮมสเตย์ก็สามารถไปนั่งชิงช้าชมวิวได้ นอกจากนั่งชิงช้าต้นไม้ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น โหนสลิงโล้ชิงช้า หรือนั่งรถสามล้อพวงเที่ยวชมวิว ชมวิถีชีวิตชาวบ้านรักไทย ถ้าอยากมาลองนั่งชิงช้าต้นไม้ชมวิวและทำกิจกรรมอื่นๆด้วย ติดต่อได้ที่ บ้านสวนชมวิวภูรักไทย หมู่บ้านรักไทย ต.ชมภู โทร. 087 207 5736, 061 368 1180 กิจกรรมอีกอย่างที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงอำเภอเนินมะปรางคือ ไปชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี ที่บ้านมุง บอกเลยว่าภูเขาสวย อลังการมาก ถ้าให้ดีต้องลองนั่งรถอีแต๊กที่ชาวบ้านบริการหรือนำจักรยานมาปั่นเองในช่วงยามเย็น จะได้สัมผัสบรรยากาศพระอาทิตย์ตก และธรรมชาติที่สวยงามของบริเวณนั้น หากใครอยากลองนั่งรถอีแต๊กชมภูเขาหินปูนล้านปี ติดต่อได้ที่ คุณพิษณุชัย ทรงพุฒิ โทร. 085 400 1727 จบการเดินทางของวันนี้ ด้วยการไปชมค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำไปหากิน ตอนเวลาประมาณ 18.00 – 19.00 น. แอดมินแนะนำให้ไปตามพิกัดนี้เลย จะเห็นค้าวคาวและวิวภูเขาหินปูนล้านปีได้ชัดเจนที่สุด https://goo.gl/maps/DwAktRAZPQQ2 / พิกัด GPS 16°33’44.4″N 100°41’31.8″E วันที่ 2เดินทางมาสักการะอนุเสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาว ที่ อ.นครไทย.พ่อขุนบางกลางหาว หรือต่อมาคือ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ซึ่งบ้านของพระองค์ก่อนจะเป็นกษัตริย์ เชื่อกันว่าอยู่ในบริเวณ อ.นครไทยนี้เอง.เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์จึงได้มีการสร้างอนุเสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวขึ้น.นอกจากนั้นยังมีมีต้นจำปาขาวเก่าแก่กว่า 700 ปี โดยมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวอยู่ใต้ต้นจำปาขาว ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นจำปาที่พ่อขุนบางกลางหาวปลูกไว้ สถานที่ถัดมา จะพาไปนั่งชิวๆ รับลมเย็นๆกลางอ่างเก็บน้ำกันกับกิจกรรม “ล่องแพแก่งไฮ” ที่อ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้ .อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อน ล่องแพไม้ไผ่ แพหนึ่งสามารถนั่งได้ประมาณ 10 คน โดยชาวบ้านจะใช้เรือหางยาวลากแพไปไว้กลางอ่างเก็บน้ำ หลังจากนั้นจะให้แพลอยเรื่อยๆอยู่กลางน้ำ นั่งรับลมเย็นสบายกลางอ่างเก็บน้ำ บนแพจะมีเสื้อชูชีพบริการ .สามารถเล่นกระโดดน้ำหรือ จะเช่าห่วงยางมาเล่นน้ำก็ได้เช่นกัน น้ำที่นี่ใสและสะอาดน่าเล่นมากๆ มีเรือเป็ด เรือเล็กให้เช่า หรืออยากลองนั่งตกปลาก็ทำได้เช่นกัน.ค่าบริการ วันธรรมดา 300/4 ชม. วันหยุด 500/4 ชม.แพเปิดบริการทุกวัน มีบริการตอนกลางคืน คิดค่ากางเต้นนอนท่านละ 100 บาท.โทรศัพท์ : 087-200-9941.การเดินทาง : จากตัวเมืองพิษณุโลก ใช้เส้นทางหมายเลข 12 ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 80 กม. ถึงสามแยกเข้านครไทย เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 2013 อีกประมาณ 13 กม. จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านแก่งไฮ ไปอีกประมาณ 7 กม. ถึงอ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้ ก่อนกลับเรามาแวะกันร้านกาแฟสุดชิคอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสุดๆ ร้านกาแฟ Sappraiwan Elephant House Lake View Cafe (ทรัพย์ไพรวัลย์) ตั้งอยู่ภายในทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จ.พิษณุโลก ที่นี่มาในคอนเซ็ป ” จิบกาแฟ ดูช้างเล่นน้ำ ” ที่นี่มีกิจกรรมร่วมกับช้างในทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ เช่น กิจกรรมทำเเซนวิชให้ช้าง เรียกได้ว่าทั้งอิ่มและสนุก แฮปปี้สุดๆไปเลย ร้านเปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)โทร. 081 533 7288

เที่ยวสองวัน ณ เมืองสองแคว อ่านเพิ่มเติม

ตะลุย 7 ชั้นหน้าฝนที่น้ำตกชาติตระการ จ.พิษณุโลก

อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ  อัตราค่าเข้าอุทยานฯ ชาวไทย : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 100 บาท .ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ โทร. 055 906 522.การเดินทางโดยรถยนต์ – ใช้เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 68 (บ้านแยง) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2013 ไปทาง อ.นครไทย ประมาณ 29 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 เข้าสู่ อ.ชาติตระการ ไปอีกประมาณ 38 กิโลเมตร ก่อนถึง อ.ชาติตระการ 1 กิโลเมตร มีทางแยกเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตร และเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางของอุทยานฯ อีก 1 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 145 กิโลเมตร  โดยรถโดยสารประจำทาง – มีรถโดยสารประจำทางจาก จ.พิษณุโลก ถึง อ.ชาติตระการ ทุก 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 05.00-17.00 น. เมื่อถึง อ.ชาติตระการ โดยสารรถเมล์เล็กสายชาติตระการ-บ่อภาค-ร่มเกล้า ประมาณ 9 กิโลเมตร และเดินเท้าเข้าสู่อุทยานฯ อีกประมาณ 1 กิโลเมตร หรือจาก อ.ชาติตระการ โดยสารมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าสู่อุทยานฯ ชื่อของน้ำตกแต่ละชั้นของน้ำตกชาติตระการนั้น ว่ากันว่าตั้งตามนามธิดาทั้ง 7 ของท้าวสามลในเรื่องสังข์ทอง เรียงลำดับจากพี่สาวคนโตไปจนถึงน้องเล็กสุด ซึ่งคล้องจองกันอย่างไพเราะ คือ มะลิวัลย์ กรรณิการ์ การะเกด ยี่สุนเทศ เกศเมือง เรืองยศ และรจนา  เรามาเริ่มต้นกันที่น้ำตกชั้นแรกกันเลย  น้ำตกชั้นที่ 1 มะลิวัลย์  เดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาเพียง 200 เมตร ก็จะพบกับน้ำตกชั้นที่ 1 มะลิวัลย์ เป็นน้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผาสูง 15 เมตร ไหลลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่ และมีหาดทราย นักท่องเที่ยวนิยมเล่นน้ำที่ชั้นนี้มากที่สุด และถือเป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพกันมากจุดหนึ่งด้วย ชั้นที่ 2 กรรณิการ์ น้ำตกชั้นที่ 2 อยู่ห่างจากชั้นแรกประมาณ 400 เมตร ไม่ไกลมากนักแต่ทางค่อนข้างจะชันสักหน่อย สำหรับสายแอดเวนเจอร์อย่างเราไม่หวั่นอยู่แล้ววว น้ำตกชั้นนี้มีลักษณะเป็นชั้นหิน น้ำจะไหลลดหลั่นลงมาตามโขดหินเป็นชั้นๆ สวยงามมาก แต่ไม่เหมาะสำหรับการเล่นน้ำนะ เพราะน้ำจะไหลวนลงสู่ชั้นที่ 1 เป็นอันตรายได้ค่ะ ชั้นที่ 3 การะเกด ถัดมาที่ชั้น 3 นึกถึงออเจ้าการะเกดกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ สำหรับชั้นที่ 3 นี้เป็นน้ำตกเล็กๆ ลักษณะเป็นหน้าผาไม่สูงมากนัก น้ำไหลลงร่องหน้าผาตามโขดหิน สามารถมองเห็นได้จากน้ำตกชั้นที่ 2 เลย เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันซักหน่อย ^^ ชั้นที่ 4 ยี่สุ่นเทศ  ว้าววว..แอดจะโดด!! สวยงามตามท้องเรื่องสำหรับชั้นที่ 4 ชั้นนี้มีลักษณะเป็นแผ่นหินกว้าง น้ำตกไหลเป็นม่านน้ำลงมายังแอ่งน้ำกว้างใหญ่ ยิ่งในช่วงหน้าฝนน้ำจะเยอะกว่าปกติ ทำให้สวยงามมากขึ้นไปอีก ชั้นที่ 5 เกศเมือง เดินลุยกันต่อจนถึงชั้นที่ 5 ชั้นนี้เป็นลานหินกว้างและร่องน้ำตกเล็กๆ ไหลลงสู่ด้านล่าง ไม่สามารถเล่นน้ำได้ เพราะน้ำไหลค่อนข้างเเรง แต่ชมบรรยากาศกันได้เต็มที่ ชั้นที่ 6 เรืองยศ มาซู่ซ่ากันต่อกับชั้นที่ 6 น้ำไหลลงมาตามทางของชั้นหินเป็นน้ำตกขนาดเล็กเหมาะแก่การนั่งชมบรรยากาศ ก็ชิลไปอีกแบบค่ะ ชั้นที่ 7 รจนา ปีนป่ายกันมาพอสมควรจนได้เจอกับชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายแล้วววว น้ำใสไหลเย็นเป็นแอ่งน้ำยาวๆ แทบไม่มีชั้นน้ำตกใดๆ นั่งเล่นนอนเล่นได้ตามสบาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมว่าลงเล่นน้ำหน้าฝนต้องเพิ่มความระมัดระวังด้วยนะคะ

ตะลุย 7 ชั้นหน้าฝนที่น้ำตกชาติตระการ จ.พิษณุโลก อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top