กรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานคร

🌟 เดินชมงานศิลป์ Check in ตลาดน้อย 🌟

ตลาดน้อยเป็นย่านชุมชนชาวจีนเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นี่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งมีการผสมผสานวัฒนธรรมไทย-จีนได้อย่างลงตัว ซึ่งจะสัมผัสได้จากวิถีชีวิตท้องถิ่นและบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายในชุมชน ตอนนี้ยังมีความเก๋ของภาพสตรีทอาร์ตที่ซ่อนอยู่มากมาย ยิ่งใครชอบถ่ายภาพหรือชอบถ่ายรูปแนว Street Art ล่ะก็ รับรองต้องถูกใจแน่นอน ที่สำคัญเดินทางง่ายด้วย! หากเพื่อน ๆ คนไหนมีจุดถ่ายรูปสวย ๆ เก๋ ๆ นอกเหนือจากที่แนะนำไป มาเม้นบอกกันได้นะ เผื่อจะตามไปถ่ายบ้าง เริ่มกันที่ ตรอกศาลเจ้าโรงเกือก ในตรอกนี้มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก ไม่ใช่แค่งานที่จัดแสดงให้ดูนะที่สวย แสงและเงาตามกำแพงก็สวยไม่แพ้กัน แนะนำเลยว่าห้ามพลาด : https://goo.gl/maps/ziDBrH3Wwe4mQaxK9 เห็นตรอกเล็ก ๆ แบบนี้ แต่ข้างในอัดแน่นไปด้วย Street Art สวย ๆ ตั้งแต่ต้นซอยยาวไปจนสุดเลยล่ะ ส่วนหนึ่งเป็นภาพวาดตามกำแพงจากร่องรอยของงาน “Urban Arts Festival 2016” นอกจากนี้อีกฝั่งของกำแพงยังมีนิทรรศการภาพถ่าย Portrait of Charoenkrung ที่มาจากงาน “Bangkok Design Week 2020” จัดแสดงอีกด้วย แค่จุดแรกก็ถ่ายรูปได้แบบจุก ๆ ไปเลย แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ศาลเจ้าโรงเกือก เดินจนสุดทางก็จะเจอศาลเจ้าโรงเกือก (ศาลเจ้าพ่อฮ้อนหว่องกุง) ที่นี่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จากคำบอกเล่าของผู้ดูแลสถานที่ บอกว่าศาลเจ้าแห่งนี้เริ่มจากพ่อค้าชาวจีนฮากกา (จีนแคะ) ได้เชิญองค์เจ้าพ่อฮ้อนหว่องกุงจากเมืองจีนมาประดิษฐานไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะสร้างเป็นศาลเจ้าอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ยิ่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะคึกคักเป็นพิเศษ จะมีการตั้งโต๊ะไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ใครสนใจจะมาไหว้ก็ซื้อของไหว้รวมไปถึงเครื่องกระดาษต่าง ๆ มาไหว้ได้เลย : https://goo.gl/maps/gYh6KLuWLwQ6y5Ar6: 7.00 – 17.00 น. เดินถัดมาถ่ายรูปอีกซอยไม่ไกลกัน ที่ซอยเจ้าสัวสอน มี Street Art ข้างตึกใหญ่โตสุด ๆ สายถ่ายรูปจะพลาดได้ไง 📍: https://goo.gl/maps/Ruy7AMLv2j9bEoX26 แวะโซวเฮงไถ่ คฤหาสน์จีนโบราณในย่านตลาดน้อย เดินตามทางมาไม่ไกล ก็จะเจอกับบ้านโซวเฮงไถ่ (บ้านนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คนแถวนี้เรียก บ้านดวงตะวัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักเรียกว่าบ้านจีนโบราณ บ้านเก๋งโบราณ) ที่นี่จะเป็นบ้านจีนสไตล์โบราณ มีผังเป็นรูปตัวยู ถ้าพูดด้วยภาษาปัจจุบันก็คือ จะมีคอร์ตยาร์ต (COURTYARD) กลางบ้านเป็นสระ เอาไว้ดำน้ำ (ลูกชายเจ้าของบ้านชอบดำน้ำมาก จึงสร้างสระว่ายน้ำไว้กลางบ้าน และเปิดเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำ) แล้วเก๋งจีนที่นี่ก็มีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปีเลย สวยข้ามกาลเวลาจริง ๆ หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้ว เพื่อน ๆ สามารถขึ้นไปเดินชมบนตัวบ้านได้เลย บัดดี้อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เพราะข้าวของทุกอย่างเป็นของเก่าจริง ๆ และสวยมาก ๆ เหมือนฉากในหนังเลยล่ะ ที่สำคัญคือ ควรเดินด้วยความระมัดระวังและสำรวมกันด้วยนะ เพราะที่นี่ยังคงเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของเจ้าของบ้าน บริเวณไหนเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือห้ามเข้า ก็ปฏิบัติตามกันกฏด้วยน้าาา : https://goo.gl/maps/Xf3SnYgko8bfdd8B8: 9.00-17.00น. (หยุดวันจันทร์์) ถัดจากบ้านโซวเฮงไถ่เล็กน้อยก็จะเจอจุดมหาชนนิยมถ่ายรูปอีกแล้ว นั่นก็คือ รถเต่าสีส้มนั่นเอง จุดถ่ายรูปสุดฮิตของตลาดน้อยเลย!! รถคันนี้ จอดอยู่ริมกำแพงอิฐเก่าเกือบสุดซอย แอบอยากรู้เหมือนกันนะว่าใครกันที่เป็นคนขับรถเต่าสีส้มแบบนี้บนท้องถนนในอดีต ต้องเป็นคนจ๊าบแน่เลย…ว่าไหม? ระหว่างทางก็เจอกับบ้านไม้หลังใหญ่ เลยอดไม่ได้ที่จะแวะถ่ายรูปเก๋ ๆ : https://goo.gl/maps/mQRUJBQpuXhEWfTT8 แวะเติมความสดชื่นระหว่างวันที่ ร้าน Naam 1608 (น้ำหนึ่งหกศูนย์แปด) ร้าน Naam 1608 เป็นร้านอาหารบรรยากาศสุดชิล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหมาะกับการแวะพักเติมพลังมาก ๆ ที่ร้าน Naam 1608 มีเมนูอาหารให้เลือกชิมเยอะมาก ๆ ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน หรือจะเป็นเครื่องดื่มแบบต่าง ๆ : https://goo.gl/maps/MgtixwdfymaHJrqr7 : 091 936 1632 (โทรสำรองที่นั่งล่วงหน้า) สถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำก็คือ วัดแม่พระลูกประคำ (โบสถ์กาลหว่าร์) โบสถ์กาลหว่าร์เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ที่มีความสวยงาม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สถาปัตยกรรมเป็นแบบนีโอโกธิค ภายในโบสถ์รวบรวมจิตรกรรมภาพกระจกสีที่บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญตามคริสต์คัมภีร์และจารึกรูปนักบุญชื่อดังไว้ด้วย : https://goo.gl/maps/c9aBuC9BF2BAnLxZA: เปิดทุกวัน 09.00 – 17.30 น

🌳6 สวนในกรุง ใกล้รถไฟฟ้า🌳

สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน วันหยุดนี้ หากใครอยากออกไปเจอธรรมชาติ แต่ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเดินทางไกล บัดดี้รวมสวนเขียวในกรุงเทพมหานครมา 6 แห่ง ที่เป็นทั้งสวนสาธารณะ สถานที่ออกกำลังกายและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของใครหลายคนมานำเสนอ หากใครกำลังมองหาสถานที่ที่สามารถมอบออกซิเจนให้ร่างกายในวันหยุด ลองตามมาอ่านได้เลย  1. สวนเบญจกิติ สวนเบญจกิติ ป่าใหญ่ใจกลางกรุง ที่ปัจจุบันมีการก่อสร้างส่วนขยายและออกแบบปรับปรุงเพื่อรองรับผู้คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้พิการทางสายตา ผู้ที่ใช้บริการรถเข็น (Wheelchair) รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มคนรักสัตว์ ที่นี่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สวนน้ำและสวนป่า บริเวณโดยรอบสวนน้ำ เป็นจุดที่ผู้คนมักจะมาออกกำลังกายกัน มีทั้งคนเดิน วิ่ง หรือใครชอบปั่นจักรยานก็มีเส้นทาง Bike Lane สำหรับปั่นจักรยาน สำหรับโซนสวนป่าจะประกอบด้วยอาคารพิพิธภัณฑ์ อาคารแสดงศิลปะ หอสมุด ลานกิจกรรมกลางแจ้ง และเส้นทางปั่นจักรยานระยะทาง 3.5 กิโลเมตร เส้นทางวิ่งระยะทาง 3 กิโลเมตร รวมถึงไฮไลต์อย่างเส้นทางสกายวอล์ก ที่มีการเชื่อมกับสกายวอล์กเดิมที่มาจากสวนลุมพินี (สะพานเขียว) แถมยังมีการจำลองระบบนิเวศ ที่สร้างเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wet Land) มีการปลูกพันธุ์ไม้หายากเพื่อการอนุรักษ์  สวนเบญจกิติ การเดินทางMRT : สถานีสุขุมวิท ทางออก 3  2. อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรืออุทยานจุฬาฯ 100 ปี ตั้งอยู่บริเวณซอยจุฬาฯ 5 (ระหว่างซอยจุฬาฯ 9 กับถนนบรรทัดทอง) ติดกับศูนย์การค้า I’m Park เป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ ที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2560  สวนแห่งนี้มีลักษณะลาดเอียง สองข้างปลูกต้นไม้ใหญ่สลับกับไม้ประดับ เกิดขึ้นจากนโยบายการสร้างเมือง GREEN & CLEAN CITY ที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากการเติบโตของกิ่งรากต้นไม้สัญลักษณ์ประจำของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้นจามจุรี รวมกับแนวคิดของโครงการแก้มลิง ที่ตัวของสวนสามารถรับน้ำและหมุนเวียนทรัพยากรน้ำเพื่อใช้ภายในสวนได้ หากมาที่นี่แล้ว เพื่อน ๆ สามารถเลือกนั่งใต้ร่มไม้ในสนามหญ้าสีเขียว ยิ่งช่วงเย็นจะเห็นทั้งคนวิ่งออกกำลังตามทางเดินลาดชัน ผู้คนจับกลุ่มถ่ายรูป นั่งเล่นกีตาร์กับเพื่อน หรือพาลูกหลานเดินดูต้นไม้ต่าง ๆ ซึ่งจะมีป้ายชื่อและข้อมูลติดไว้ให้ความรู้อยู่เต็มไปหมด  ริมสระน้ำ จะมีเครื่องออกกำลังกายที่ประยุกต์มาจากเครื่องบำบัดน้ำ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ที่เอาไว้ปั่นออกกำลังกายและเพิ่มออกซิเจนให้น้ำในสระไปในเวลาเดียวกัน  การเดินทางMRT : สถานีสามย่าน ทางออก 2  3. สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา (พระปกเกล้า สกายปาร์ค) สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา (Chao Phraya Sky Park) ตั้งอยู่บริเวณกลางสะพานพระปกเกล้า ที่ดัดแปลงมาจากโครงสร้างของรางรถไฟฟ้าลาวาลินที่ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้มานานกว่า 30 ปี ให้กลายเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า ที่เชื่อมฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครเข้าด้วยกัน  ในสวนสาธารณะแห่งนี้ มีทางเดินและเลนจักรยาน ระยะทางกว่า 280 เมตร รวมไปถึงลิฟต์สำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ เพื่อให้ทุกคนสามารถมาใช้บริการได้ทุกเพศทุกวัย ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุดอีกจุดของกรุงเทพฯ แถมยังมองเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ พระบรมธาตุมหาเจดีย์ที่วัดประยุรฯ วัดซางตาครู้ส ชุมชนกุฎีจีน สะพานพุทธฯ ไอคอนสยาม ยิ่งช่วงเย็น จะมีทั้งลมเย็น ๆ และวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าให้ชม รับรองได้ว่ามาแล้วประทับใจแน่นอน  การเดินทางMRT : สถานีสนามไชย ทางออก 5  4. สวนลุมพินี สวนลุมพินี เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของกรุงเทพฯ มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า สวนลุม เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 บนถนนพระรามที่ 4 เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของทั้งชาวกรุงเทพฯ และชาวต่างชาติ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ภายในสวนมีสวนปาล์ม สระน้ำขนาดใหญ่ เป็นจุดนัดพบของคนรักสุขภาพ เป็นที่พบปะสังสรรค์ พักผ่อน ออกกำลังกายยอดฮิตของคนเมือง   สวนลุมพินี  การเดินทางMRT : สถานีสีลม ทางออก 1 และ สถานีลุมพินี ทางออก 3BTS : สถานีศาลาแดง ทางออก 5  5. สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนวชิรเบญจทัศ หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ สวนรถไฟ เป็นสวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ ที่ในอดีตเคยเป็นสนามกอล์ฟรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ต่อมามีการสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและออกกำลังกายของประชาชนทั่วไป  ภายในสวนรถไฟมีสวนป่าใหญ่ในเมือง ที่รวบรวมพันธุ์ไม้หลายชนิด มีการจำลองระบบนิเวศของป่าเพื่อการเรียนรู้ มีเลนจักรยานที่มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร มีศูนย์กีฬาที่มีทั้งสระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล ฟิตเนส ฯลฯ สนามเด็กเล่น และเมืองจราจรจำลองท่ามกลางธรรมชาติสีเขียว ให้คนที่มาได้เลือกกิจกรรมที่สนใจได้ตามสะดวก   สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)  การเดินทางMRT : สถานีจตุจักร ทางออก 1 และ 2BTS : สถานีหมอชิต ทางออก 1 และ 3  6. สวนจตุจักร สวนจตุจักร อีกหนึ่งสวนสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ สร้างขึ้นโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งเกิดจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน 100 ไร่ เพื่อสร้างสวนสาธารณะตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 4 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2518 เมื่อสร้างสวนเสร็จ สวนแห่งนี้ได้รับพระราชทานนามว่า “สวนจตุจักร” และต่อมาถูกใช้เป็นชื่อของเขต และชื่อของแขวงที่เป็นที่ตั้งของสวน  …

🌳6 สวนในกรุง ใกล้รถไฟฟ้า🌳 อ่านเพิ่มเติม

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำ เย็นใจในเมืองกรุง 📌🚣‍♀

เที่ยวหน้าร้อนต้องใกล้น้ำ ชวนนักเดินทางปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำในเมืองกรุง สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำของชุมชนริมคลอง ซึ่งหลายแห่งยังคงเห็นวิถีดั้งเดิม ที่สืบเนื่องถึงปัจจุบันเช่นเดียวกับสายน้ำที่ยังคงไหลรินเรื่อยมาแต่อดีต รื่นรมย์กับบรรยากาศที่ชวนย้อนเวลาราวกับยังมีชีวิต ลิ้มรสอาหารพื้นบ้าน ชมภูมิปัญญาท้องถิ่น สนับสนุนรายได้สู่ชุมชน แบ่งปันความสุขพร้อมมองสายน้ำไหลผ่านที่พาให้ใจร่มเย็นไปด้วยกัน 💗 เที่ยวตลาดน้ำในกรุงฯ มีกิจกรรมอะไรน่าสนใจบ้าง…1. ชิมอาหารพื้นบ้าน และอุดหนุนสินค้าชุมชน จากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นคนในพื้นที่2. เรียนรู้งานหัตถกรรม ภูมิปัญญาชาวบ้าน และเอกลักษณ์ประจำถิ่นของแต่ละพื้นที่3. นั่งเรือชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมสองฝั่งน้ำ  ตลาดน้ำคลองบางหลวง ตลาดน้ำท้องถิ่นเล็ก ๆ ริมคลองบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เรือนไม้ ร้านกาแฟ งานศิลป์ หุ่นละครเล็ก และวัดเก่าตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา กลายเป็นมนต์เสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้ ผู้ชื่นชอบงานศิลป์และรักสงบเราขอแนะนำเลย  ตลาดน้ำวัดสะพาน ตลาดน้ำย่านราชพฤกษ์ ที่ชวนให้เพลิดเพลินกับรสมือของชาวชุมชนริมคลอง ข้าวหม้อแกงหม้อต่างล่องเรือมาขายให้นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา มีบริการนั่งเรือชมวิว 2 ฝั่งคลองด้วย  ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดกึ่งชนบทผสมผสานระหว่างชีวิตริมคลองชักพระกับธรรมชาติ อยู่บริเวณหน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน นอกจากอาหารการกิน ยังมีงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือจะนั่งเรือหางยาวไปตลาดน้ำแห่งอื่น ๆ ต่อก็ได้เช่นกัน  ตลาดน้ำสองคลอง อยู่ใกล้กับตลาดน้ำตลิ่งชันเพียงข้ามคลองวัดตลิ่งชันเท่านั้น ตั้งอยู่ในเขตวัดตลิ่งชัน ลิ้มรสอาหารไทยพื้นบ้านท่ามกลางบรรยากาศตลาดริมน้ำหลังคามุงแฝก ชมวิหารเก่า ให้อาหารปลาริมคลอง อิ่มใจ ได้บุญ  ตลาดน้ำคลองลัดมะยม แดนสวรรค์สำหรับสายกิน นักชิม หรือนักชอปสายอาหาร เพราะบรรดาร้านรวงในตลาดน้ำแห่งนี้ มีอาหารน่าอร่อยมากมาย เตรียมจับจ่ายพร้อมหิ้วกลับบ้านแบบจัดเต็ม

พระนคร Walking 🚶‍♀️

พระนคร Walking ส่องตึกเก่าย่านสามแพร่ง เดินเลาะเลียบถนนตะนาว ✨ สามแพร่ง ย่านชุมชนเก่าแก่บริเวณถนนตะนาว ในเขตพระนคร กรุงเทพฯ ในอดีต เป็นกลุ่มวังที่ประทับของเจ้านายในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้แก่ วังกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ วังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ และวังกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตัดทางผ่านกลางพื้นที่กลุ่มวังนี้ เพื่อเชื่อมถนนอัษฎางค์กับถนนตะนาว จนเกิดเป็นทางสามแพร่ง และตั้งชื่อถนนในย่านนี้ตามพระนามเจ้าของวัง คือ ถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ถนนแพร่งนรา และถนนแพร่งภูธร เลียบถนนตะนาว เลาะไปตามซอยต่าง ๆ มีตึกรามบ้านช่องมากมาย เป็นทั้งแหล่งทำมาค้าขาย ที่พักอาศัย และที่ดินทรัพย์สินของเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้น วันเวลาผ่านไป อาคารเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และยังคงมีอาคารดั้งเดิมที่ซ่อนตัวท่ามกลางชุมชน วันนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปเดินชมตึกเก่า ชี้พิกัดร้านอาหาร เพราะในย่านนี้ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมร้านอร่อยอีกย่านหนึ่งในพระนครเลยล่ะ 😋  เส้นทางเดินเที่ยวลัดเลาะในทริปนี้ บัดดี้จะพาเพื่อน ๆ เดินทางโดยขนส่งสาธารณะแบบง่าย ๆ โดยรถไฟใต้ดิน MRT มาที่สถานีสามยอด  จากนั้นเดินเท้า มุ่งหน้าไปทางแยกสี่กั๊กพระยาศรี เลี้ยวขวาเข้าถนนเฟื่องนคร เดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงแยกสี่กั๊กเสาชิงช้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนตะนาว หากมาตามแผนที่ที่แนะนำไว้ เพื่อน ๆ จะถึงที่แพร่งภูธรเป็นจุดแรก สามารถเดินเข้าได้ 2 ทางคือทางเข้าฝั่งถนนตะนาว และทางเข้าฝั่งถนนบำรุงเมือง เราจะพาเพื่อน ๆ มาเดินเข้าฝั่งถนนบำรุงเมืองเพื่อชม เดอะไนท์เฮ้าส์ (The Knight House)  อาคารสีเหลืองหลังคาจั่ว ลายฉลุแบบเรือนขนมปังขิง ผสมผสานศิลปะแบบโคโลเนียลเข้าด้วยกัน ในอดีตบนที่ดินผืนนี้เป็นตึกแถวของเจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 จากนั้นก็เปลี่ยนผู้ถือครองและเปิดเป็นร้าน “ไนท์ บาร์เบอร์” ที่อยู่คู่แพร่งภูธรมาราว ๆ 30 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นเดอะไนท์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่และมีความสวยอย่างมาก ที่นี่เปิดให้บริการที่พักและคาเฟ่ หากเพื่อน ๆ มาเที่ยวชมแถวนี้ อย่าลืมแวะมาที่นี่กันนะ ฝั่งขวามือที่เรากำลังจะเดินเข้าไปในซอย มีป้ายชื่อถนนแพร่งภูธร ตัดกับอาคารสีเหลือง เหมาะจะเป็นมุมเช็กอินถ่ายรูปปัง ๆ แพร่งภูธร หรือในอดีตคือ “วังสะพานช้างโรงสี” ซึ่งเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ประทับที่วัง คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ซึ่งต่อมาเมื่อกรมหมื่นภูธเรศฯ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพื้นที่ทำเป็นตึกแถว และยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ เดินจากปากซอยตรงเข้ามาเพียงแค่นิดเดียว มองเห็น อาคารสีเหลือง 2 ชั้น ครอบด้วยหลังคาสีแดงดูสะดุดตา ที่นี่คือ “สุขุมาลอนามัย” สถานีกาชาดที่ 2 ที่ตั้งอยู่กลางแพร่งภูธร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 เพื่อเป็นอนุสาวรีย์เชิดชูพระเกียรติคุณสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เดิมที อาคารสุขุมาลอนามัยเป็นตึกสีขาว ภายหลังมีการซ่อมแซมและทาสีใหม่จนเป็นที่โดดเด่นท่ามกลางตึกแถวในย่านนี้ เพื่อน ๆ บางคน โดยเฉพาะเพื่อน ๆ สายซีรีส์เกาหลีอาจจะคุ้น ๆ มุมภาพนี้ จริง ๆ แล้วตรงนี้เคยเป็นจุดที่มีถ่ายทำซีรีส์เกาหลีแนวคอมเมดี้ ฉายเมื่อปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นฉากที่พระเอก นางเอก และพระรอง กางร่มท่ามกลางสายฝนนั่นเอง  ตึกแถวในบริเวณนี้ รวมทั้งตึกแถวในซอยแพร่งนราจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปผสมจีนตั้งเรียงยาวทั้ง 2 ฝั่ง ตรงหน้านี้คือ 1905 เฮอริเทจ คอร์นเนอร์ (1905 Heritage Corner)  เป็นลักซูรี่เกสต์เฮาส์ขนาด 3 ห้อง ที่รีโนเวทมาจากตึกเก่าอย่างประณีต อยู่ใกล้ ๆ กับสุขุมาลอนามัยเพียงไม่กี่สิบก้าว จากการสืบค้นประวัติศาสตร์ เจ้าของเกสต์เฮาส์พบว่าที่นี่เคยเป็นโรงน้ำชามาก่อน จึงรีโนเวทและตกแต่งที่พักแห่งนี้ในคอนเซ็ปต์โรงน้ำชา มีกลิ่นอายความเป็นจีนผสมกับความเป็นโคโลเนียลตามยุคสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างลงตัว นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและร้านขายงานคราฟต์ท้องถิ่นให้เราได้ไปชอปปิงเพลิน ๆ อีกด้วย เดินมาจนสุดทางแพร่งภูธร บรรจบกับถนนตะนาว ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกเก่าเช่นกัน แม้ว่าจะดูหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่ก็มีลวดลายที่แตกต่างกันไป 2 คูหาในตึกแถวหลังนี้ คือที่ตั้งของร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าดังในย่านพระนคร “ก.พานิช”  ที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 แถมยังได้รับรางวัลการันตีความอร่อยมามากมาย รวมทั้งรางวัลบิบ กรูมองต์ ของมิชลิน รวมถึงในปีนี้ด้วย แค่เห็นหน้าตาข้าวเหนียวมะม่วงกล่องนี้ ก็เดาได้เลยว่าต้องอร่อย หวานฉ่ำแน่ ๆ ใครมาย่านนี้ อย่าลืมมาแวะซื้อที่ ก.พานิช กันนะ เดินชมกันต่อที่แพร่งนรา นอกจากอาคารตึกแถวสีเหลืองที่ตั้งเรียงทั้งสองฝั่งแล้ว ยังมีอาคารเก่าที่มีรูปแบบสวยงามไม่แพ้กัน ที่นี่คือ “โรงเรียนตะละภัฏศึกษา”  ในอดีตคือ “วังวรวรรณ” ที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้ทรงปรีชาสามารถมากในด้านการประพันธ์ ทรงเป็นผู้นิพนธ์บทละครร้อง และสร้างโรงละครปรีดาลัยซึ่งเป็นโรงละครร้องแห่งแรกของไทยขึ้นภายในวังของพระองค์ท่าน ลักษณะอาคารเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ มีระเบียงไม้ฉลุลายอย่างสวยงาม โรงเรียนแห่งนี้ปิดทำการไปเมื่อปี พ.ศ. 2538 แม้ปัจจุบันจะชมได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ก็คุ้มค่าแก่การมาชม เพลิดเพลินกับศิลปะผ่านสถาปัตยกรรมกันมาพอสมควรแล้ว บัดดี้ขอปักหมุดร้านอร่อยในย่านนี้ให้เพื่อน ๆ ได้ลิสต์ไว้ มีทั้งคาวหวาน คาเฟ่น่านั่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครมีร้านเด็ดในย่านนี้ คอมเมนต์มาบอกได้เลยนะ  เดินเลียบถนนตะนาวมาจนถึงแพร่งสรรพศาสตร์ มองเห็นซุ้มประตูตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วังสรรพสาตรศุภกิจ” ซึ่งเดิมเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ซุ้มประตูนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป หน้าบันเจาะเป็นวงกลม มีประติมากรรมรูปผู้หญิงในท่ายืนถือคบไฟ รอบ ๆ ประดับกระจกสี ต่อมาภายหลังได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เสียหายจนหมด เหลือเพียงซุ้มประตูวังเก่าที่ยังคงความสวยงามให้คนรุ่นหลังได้ชม และเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของย่านสามแพร่ง เดินถัดจากซุ้มประตูไปไม่ไกล คือ “ศาลเจ้าพ่อเสือ”  มาถึงย่านนี้ สายมูห้ามพลาด ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ตั่วเหล่าเอี้ย” …

พระนคร Walking 🚶‍♀️ อ่านเพิ่มเติม

✨ รวมร้านเที่ยว-กิน ย่านท่าดินแดง ✨

วันนี้บัดดี้มีรูทเดินเที่ยวสั้น ๆ สำหรับคนที่มีเวลาน้อยและต้องการการเดินทางที่สะดวกมานำเสนอ ซึ่งรูทนี้จะเน้นที่กินเป็นหลัก ใครหาไอเดียเที่ยวง่าย ๆ ในเมืองกรุงแล้วยังไม่รู้จะไปที่ไหน ตามไปอ่านรายละเอียดกันได้ โดยวันนี้จะมีทั้งหมด 15 พิกัด การเดินทางรถประจำทาง สาย 6,42,43รถส่วนตัว จอดได้บริเวณวัดใกล้เคียง (วัดอนงคาราม,วัดทองนพคุณ) ทางเรือ1. เรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่าราชวงศ์ จากนั้นโดยสารเรือข้ามฟากไปยังท่าดินแดง ราคา 4 บาท2. เรือบริการฟรี จากท่าไอคอนสยาม จอดส่งท่าดินแดง และท่าศาลเจ้ากวนอู รถไฟฟ้า BTS1. สายสีเขียวอ่อน(สีลม) ลงสถานีสะพานตากสิน ลงเรือด่วนเจ้าพระยา 15 บาท มาขึ้นที่ท่าราชวงศ์ จากนั้นโดยสารเรือข้ามฟากไปยังท่าดินแดง2. สายสีทอง ลงสถานีคลองสานแล้วเดินต่อไปทางถนนท่าดินแดง 1. ตรอกดิลกจันทร์ สถานที่แรกที่บัดดี้จะพาเพื่อน ๆ มาก็คือ ตรอกดิลกจันทร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ชุมชนสมเด็จย่า ในอดีตเป็นย่านธุรกิจที่คึกคักมาก มีกิจการขนาดใหญ่มากมาย ทั้งโรงสีข้าว โรงงานน้ำปลา โรงเกลือ โรงทำชันยาเรือ โรงงานทอผ้า ฯลฯ ก่อนจะซบเซาไป หลายกิจการปิดตัว หลายกิจการย้ายออก แต่ก็ยังมีตึกเก่าสวยคลาสสิคจากสมัยนั้นหลงเหลือให้ได้เห็นกันอยู่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เห็นได้จากที่มีทั้งวัดไทย ศาลเจ้าจีน และมัสยิดอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน บ้านเรือนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นอาคารพาณิชย์ บรรยากาศไม่พลุกพล่าน มีร้านอาหาร ร้านรถเข็นให้เห็นหลายร้าน หลังจากเดินเล่นเรื่อยไปจนถึงกลาง ๆ ซอย เราก็ได้เจอกับ “ร้านขาหมูเจ๊นง” เป็นร้านรถเข็นเล็ก ๆ เจ้าของร้านอัธยาศัยดีเยี่ยม ยิ้มแย้มทักทายมาแต่ไกลเลยทีเดียว บัดดี้สั่งข้าวขาหมู และข้าวหมูแดงหมูกรอบมาลองชิม รสชาติอร่อยมาก ขาหมูไม่หวานจนเลี่ยน หมูกรอบเนื้อแน่น กรอบอร่อย หมูแดงเนื้อนุ่มหอมกลิ่นควันที่ใช้ย่าง สมกับที่เป็นเจ้าเก่าเปิดมากว่า 32 ปี ระหว่างที่กิน เจ๊นงก็ชวนคุยและเล่าความเป็นมารวมถึงแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในแถบนี้ให้ฟังซะเพลินเลย เจ๊นงบอกว่า มาย่านนี้ต้องไปไหว้ศาลเจ้าให้ครบ 2 แห่ง บัดดี้เลยมุ่งหน้าไปสักการะศาลเจ้าแห่งแรกก่อน นั่นคือ ศาลเจ้าพ่อเสือ(คลองสาน) ที่เดินจากร้านเจ๊นงไปไม่ถึง 10 นาที ศาลเจ้าแห่งนี้ แต่เดิมเป็นศาลไม้ ก่อนจะมีการบูรณะเพิ่มเติมในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม ช่วงเหตุการณ์ไฟไหม้ จนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ศาลเจ้าพ่อเสือที่นี่เป็นศาลเก่าแก่ที่ชาวชุมชนให้ความเคารพมาก มีผู้ศรัทธาเข้ามากราบไหว้อยู่เสมอ คนที่ไม่รู้ว่าขั้นตอนไหว้เป็นยังไงไม่ต้องห่วง จะมีคนดูแลศาลเจ้าท่าทางใจดีคอยให้คำแนะนำ  ตรอกสะพานยาว แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 06.00-21.00 น.https://goo.gl/maps/Dgu7hXqVK4orXEGU7 ศาลเจ้าแห่งที่ 2 ที่เจ๊นงแนะนำ คือ ศาลเจ้ากวนอู เป็นศาลเจ้าริมน้ำที่ผ่านกาลเวลาและรวมความศรัทธาของคนในพื้นที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2279 ระหว่างทางจะมีกราฟิตี้สวย ๆ ตามผนังตึกให้ดูเป็นระยะ ใครอยากถ่ายรูปลงโซเชียล ก็จัดเต็มได้เลยนะ บริเวณริมน้ำด้านหน้าศาล เพื่อน ๆ จะพบรูปปั้นสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสิน หันหน้าออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ว่ากันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินเคยเสด็จมาสักการะเทพเจ้ากวนอูที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อนจะกรีธาทัพไปทำสงคราม นี่จึงเป็นที่มาของรูปปั้นสักการะดังกล่าว  ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 07.00-17.00 น. 0 2439 6309https://goo.gl/maps/itjqC4BCfJn4JVaK9 2. My Grandparent’s House บ้านอากงอาม่า ติดกับศาลเจ้ากวนอู จะมีคาเฟ่ริมน้ำที่ดัดแปลงมาจากบ้านไม้ อายุกว่า 90 ปี จุดเด่นของที่นี่ก็คือ บรรยากาศ ที่มีความชิลระดับ 100 เต็ม 10 ทั้งตัวบ้านไม้ที่มีความย้อนยุคและขนม เครื่องดื่ม สูตรอาม่าเจ้าของร้าน ที่รอเพื่อน ๆ ไปชิม ด้านหน้าของร้านบ้านอากงอาม่า จะมีบ้านคหบดีจีนโบราณอายุประมาณสองร้อยกว่าปี และเป็นที่ตั้งของโรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ ธุรกิจที่ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษชาวจีน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 2 โดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของจีนทางตอนใต้ โดยจะเรียกบ้านในรูปทรงนี้เรียกว่าบ้านล้อมลาน เพราะจุดเด่นของบ้านที่มีลานโล่งอยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยอาคารที่อยู่อาศัย ซึ่งในปัจจุบันสถาปัตยกรรมในรูปแบบนี้แทบหาดูไม่ได้แล้ว  ไหน ๆ ก็มาถึงโรงน้ำปลาแล้ว บัดดี้เลยถือโอกาสซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วย เพื่อน ๆ คนไหนอยากลองชิมน้ำปลาสูตรโบราณ ๆ ก็ลองซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้นะ  253 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 แขวง สมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00-18.00 น. 0 2437 5183https://goo.gl/maps/c3wy8g6bEiR9nT6w6 3. Deep Root Café สถานที่ต่อมาเป็นคาเฟ่ที่มีความ ดิบ เท่ ที่ในอดีต บริเวณนี้เป็นทางผ่านและขนส่งสินค้าแห้ง เพื่อลำเลียงไปยังท่าเรือเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ผ่านการปรับเปลี่ยนโดยเจ้าของปัจจุบันจนกลายเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น โดดเด่นด้วยภาพวาดสีสันฉูดฉาด ต้นไม้ใหญ่ และเครื่องดื่มสุดพิถีพิถันอร่อยในราคาย่อมเยา แถมยังจะได้ฟังเรื่องเล่าในอดีตของชุมชนแห่งนี้อีกด้วย  255/2 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 08 5150 4512 เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00-20.00 น. (ปิดวันอังคาร)https://goo.gl/maps/bPMbQHzFhMP17NEG6 4. ข้าวพระรามลงสรง (ซาแต๊ปึ่ง) เดินผ่านสีแยกท่าดินแดงไปไม่ถึง 5 นาที ก็จะเจออีกหนึ่งร้านที่บัดดี้อยากแนะนำเพื่อน ๆ ตั้งอยู่ด้านขวามือ อยู่เยื้อง ๆ กับซอยท่าดินแดง 6 ข้าวพระรามลงสรงหรือชื่อในภาษาแต้จิ๋วว่า “ซาแต๊ปึ่ง” เป็นอาหารจีนชนิดหนึ่ง ที่ประกอบด้วยข้าวสวย ผักบุ้งลวกและเนื้อหมู ราดด้วยน้ำราดที่ทีลักษณะข้นคล้ายน้ำจิ้มสะเต๊ะ รสชาติออกหวานกินพร้อมกับน้ำพริกเผาอร่อยเข้ากันมาก ปัจจุบันหารับประทานได้ยาก ซึ่งร้านนี้มีทั้งแบบราดข้าวและราดเส้นหมี่ให้เลือก  61 ถนนท่าดินแดง แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร …

✨ รวมร้านเที่ยว-กิน ย่านท่าดินแดง ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ Van Gogh Alive Bangkok @ ICON SIAM ✨

วันนี้จะเป็นการนำเสนอนิทรรศการศิลปะจากศิลปินชื่อดังระดับโลก “ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค” หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า “วินเซนต์ แวนโกะห์” ศิลปินชาวดัตช์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในวงการศิลปะ พร้อมกับสไตล์งานที่โดดเด่นในยุคนั้น ทั้งการใช้สีสันและฝีแปรงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของคนวาดลงไปอย่างเต็มที่ จนหลายคนมองว่าเขาเป็นคนสติเฟื่อนและมีภาพจำว่าเขาเป็นเพียงศิลปินที่มีปัญหาทางอารมณ์ที่เกินควบคุมจนถึงขนาดกล้าตัดหูตัวเอง คอนเทนต์ในวันนี้ จะเป็นการนำเสนอประวัติของ แวนโกะห์ ผ่านนิทรรศการภาพวาดของตัวเขาเอง ที่ไม่อยากให้ใครหลายคนพลาด ตามมาดูเรื่องราวของความมหัศจรรย์บนผืนผ้าใบยุคก่อนบนจอสกรีนขนาดใหญ่ในยุคนี้ไปพร้อมกัน ว่าจะพาเราให้รู้จักเรื่องราวของศิลปินคนนี้ได้อย่างไรบ้าง เอาล่ะ มาเริ่มเดินทางเข้าสู่นิทรรศการนี้ไปพร้อมกัน เพื่อน ๆ สามารถซื้อบัตรเข้างานออนไลน์ได้ที่ https://www.thaiticketmajor.com/van-gogh-alive/…หรือหากใครไม่สะดวก ก็เดินไปซื้อที่งานได้เลย งานจัดอยู่ที่ Attraction Hall ชั้น 6 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม (นิทรรศการจัดใกล้ ๆ โรงหนัง SF) เมื่อเข้ามาแล้ว ในโซนแรกจะเป็นห้องที่บอกเล่าประวัติของ แวนโกะห์ คร่าว ๆ เผื่อใครเพิ่งเริ่มติดตามจะได้ทราบประวัติของเขาแบบย่อ ๆ ซึ่งการได้รู้ประวัติของตัวศิลปินก่อนเข้าชมนิทรรศการ สามารถเพิ่มอรรถรสในการชมห้องต่อไปได้มากทีเดียว โดย แวนโกะห์ มีประวัติย่อ ๆ ดังนี้ แวนโกะห์ เกิดวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1853 ที่เมืองซึนเดิร์ต (Zundert) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีพ่อเป็นนักบวชหลวงนิกายโปรแตสแตนท์ แม่และครอบครัวฝั่งแม่ทำงานด้านศิลปะ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน โดยมีน้องชายที่เขาสนิทชื่อ ธีโอ ตลอดชีวิตในวัยเด็ก เขาคลุกคลีและได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ระหว่างชนชั้นกลางของทางบ้านเขาและเหล่าเกษตรกร กรรมกร ว่าต่างกันขนาดไหน ซึ่งประสบการณ์ในช่วงนี้จะเป็น 1 ในอิทธิพลที่ส่งผลต่อผลงานการวาดภาพช่วงแรก ๆ ของเขา หลังจากเรียนจบ เขาได้ทำงานที่ Goupil & Cie ห้องภาพแห่งหนึ่งที่ญาติเขาเป็นหุ้นส่วนตั้งแต่อายุ 16 ปี และเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาถูกส่งตัวไปยังห้องภาพสาขาปารีส ด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อและพูดตรง เขาจะบอกลูกค้าไม่ให้ซื้อภาพนั้นหากเป็นภาพที่ไม่คุ้มค่ากับราคา จนสร้างความไม่พอใจให้ทางร้านและไล่เขาออกในที่สุด ในช่วงอายุ 20 เป็นช่วงที่เขาทั้งผิดหวังจากความรักและมีภาวะซึมเศร้า เขาจึงเริ่มมองหาเส้นทางใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง อย่างการลองศึกษาศาสนาและเป็นผู้เผยแพร่ แต่ก็ไปไม่รอดเพราะเขาเป็นคนที่พูดจูงใจคนไม่เก่ง แถมยังอุทิศเงินส่วนตัวให้กับคนทุกข์ยากจนตัวเองลำบาก ต้องกินแค่เศษขนมปัง ทำให้ร่างกายผอมลงและเป็นพิษไข้ สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออกจากการเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา จนกระทั่งเขาอายุได้ 27 ปี เป็นช่วงที่เขาได้พบกับเส้นทางที่เขาตามหา เขาเริ่มหันมาสนใจในศิลปะอีกครั้ง จากการพบเห็นผลงานศิลปะแบบ Impression ในยุคนั้น เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะวาดและถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเขาลงไปในภาพวาด โดยมีน้องชายของเขา ธีโอ เป็นนายหน้าขายภาพให้ หากเทียบกับศิลปินคนอื่น ถือว่าเขาเริ่มต้นวาดภาพช้าและมีเวลาในการวาดรูปเพียง 10 ปีเท่านั้น เพราะในช่วงวัย 37 ปี เขาได้เสียชีวิตลงจากสาเหตุยิงตัวเองเข้าที่กลางลำตัว หลายคนก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพราะมีปากเสียงกับเด็กหนุ่มวัยคึกคะนองในละแวกนั้นมากกว่า แต่ใน 10 ปีนี้ เขามีผลงานศิลปะราว 2,100 ชิ้น เป็นภาพวาดสีน้ำมันกว่า 900 ชิ้น และภาพวาดลายเส้นอีกประมาณ 1,100 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาวาดในช่วงเวลาสองปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว 6 เดือนต่อมา ธีโอ น้องชายผู้สนับสนุนและคอยผลักดันเส้นทางการเป็นศิลปินของแวนโกะห์ ก็เสียชีวิตจากโรคทางสมอง โจฮันนา ภรรยาหม้ายของธีโอ ที่ยังเชื่อมั่นในตัวของแวนโกะห์ ก็ต่อสู้ผลักดันผลงานของเขาต่อไป จนผลงานของเขาเป็นที่นิยมขึ้นมา และกลายเป็นของล้ำค่าราคาสูงจนถึงปัจจุบัน ในห้องเดียวกันมีประวัติของภาพวาดอย่าง The Starry Night, Café Terrace At Night, Sunflowers, Almod Blossom, Portrait Of Dr.Garchet, Wheat Field With Crow ให้อ่านด้วยนะ นอกจากนี้ ภายในโซนแรก เพื่อน ๆ จะพบกับห้องนอนจำลอง ที่มีต้นแบบมาจากภาพวาด Bedroom in Arles ภาพห้องนอนของ แวนโกะห์ ในบ้านหลังสีเหลือง ที่เขาอาศัยร่วมอยู่กับเพื่อนศิลปิน พอล โกแกง (Paul Gauguin) ที่ทำให้ต่อมามีรูปที่มีชื่อเสียงมาก ๆ อีกรูปก็คือ “ดอกทานตะวัน” นั่นเอง จากนั้นจะเป็นการเดินทางเข้าสู่โซนที่ 2 ไฮไลท์ของนิทรรศการนี้ ซึ่งจะมีป้ายแจ้งข้อมูลก่อนเดินเข้าไป ว่าทางนิทรรศการแนะนำให้ผู้เข้าชมใช้เวลาอย่างน้อย 40 นาทีในการชมโซนที่ 2 นี้ การเล่าเรื่องของโซนนี้ จะเป็นการนำเสนอประวัติของ แวนโกะห์ ที่เราอ่านกันในโซนที่ 1 ผ่านภาพวาดของเขาตามช่วงอายุ ด้วย Immersive Multi-Sensory Experience ที่จะเริ่มฉายภาพไปทั่วกำแพงและพื้น มีตั้งแต่ภาพที่เขาเริ่มวาดด้วยสีทึมทะมึน อย่างภาพ The potato eaters ที่บอกเล่าเรื่องราวที่เขาพบเจอมาในช่วงเด็ก ที่นำเสนอภาพชีวิตของครอบครัวชาวนาล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำอย่างสมถะ ซึ่งภาพนี้เป็นอีกภาพที่ทำให้คนเริ่มหันมามองเขาในฐานะศิลปิน ไปจนถึงภาพที่เขาหัดวาดดอกไม้ และวาดภาพเหมือนของตัวเอง บรรยากาศรอบตัวจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากภาพวาดของเขาที่มีอยู่หลายพันภาพ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาด ที่สำคัญในบางช่วงจะมี “กลิ่น” ที่ทางงานปล่อยออกมา เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์ในการชมที่มากขึ้นอีกด้วย ภาพที่ฉายออกมา หากไปดูใกล้ ๆ จะเห็นรายละเอียดของฝีแปรงจากตัวศิลปินได้อย่างชัดเจน อย่างภาพ Starry Night Over the Rhône ก็เห็นรายละเอียดนี้ชัดมาก ต้องชมความเก่งและความทันสมัยของเทคโนโลยีและผู้จัดงานนี้จริง ๆ ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ดี ๆ มาให้ผู้ชมงานได้มากขนาดนี้ โซนต่อมา เป็น Installation Art ที่จะจำลองภาพวาดของเขาออกมาเป็นพื้นที่จริง ให้ผู้เข้าชมได้ไปถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องนี้ เพื่อน ๆ จะเจอกับภาพ Noon, Rest …

✨ Van Gogh Alive Bangkok @ ICON SIAM ✨ อ่านเพิ่มเติม

🌿 กาลิเลโอเอซิส : GalileOasis 🌿

หากวันหยุดเพียงระยะเวลาสั้น ๆ อาจไม่เป็นใจให้ใครหลาย ๆ คนออกเดินทางไปพักผ่อนในต่างจังหวัด…อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนในเมืองกรุงฯ กันดูไหม เพราะในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยอาคารมากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ยังมีมุมลับสีเขียวที่หลบซ่อนอยู่ในซอยเล็ก ๆ ย่านบรรทัดทอง กาลิเลโอเอซิส เป็นอาร์ตสเปซขนาดย่อม ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความแออัดและทรุดโทรมอย่างมากก่อนจะทำการรีโนเวทใหม่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น แต่งแต้มสีสันภายในโครงการฯ ด้วยศิลปะจากอาร์ตแกลเลอรี่ นิทรรศการหมุนเวียน และโรงละคร หากพร้อมแล้ว จะพาไปชมบรรยากาศภายในโครงการกัน กาลิเลโอเอซิส ตั้งอยู่ในซอยโรงเรียนกิ่งเพชร ที่นี่ไม่มีที่จอดรถ  แนะนำการเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีราชเทวี ทางออก 1 ปักหมุดกาลิเลโอเอซิส เดินเข้าซอยพญานาคไปเรื่อย ๆ จนถึงแยกซอยโรงเรียนกิ่งเพชร เดินเข้าซอยไปเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายโครงการฯ ระยะทางรวม 800 เมตร  ซอยโรงเรียนกิ่งเพชร ถนนบรรทัดทอง แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานครhttps://goo.gl/maps/3dBgDVdzoLoYzjXZ7 เมื่อเดินมาถึง มองเห็น  Piccolo Vicolo Café (พิคโคโล่ วิโคโล่ คาเฟ่) ตั้งเด่นอยู่หน้าโครงการฯ จนต้องเดินเข้าไปทันที ภายในร้านตกแต่งสไตล์วินเทจ ติดกระจกรอบด้าน ทำให้รู้สึกโปร่งสบาย ไม่อึดอัด  เช้า ๆ แบบนี้ ไม่ว่าจะวันไหน ๆ แค่ได้กลิ่นกาแฟก็หอมชื่นใจ ไม่รีรอที่จะสั่งเครื่องดื่มสักแก้ว  หลาย ๆ คนที่มา มักจะแนะนำเมนู “กาแฟมะพร้าว” เพราะเป็นกาแฟที่ใช้ความหวานจากน้ำมะพร้าวแท้ ทำให้กาแฟมีรสหวาน กลิ่นหอมสดชื่น  นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายชนิดให้ลอง สั่งกาแฟแล้วก็ไม่พลาดที่จะสั่งขนมหวานมาลองชิมคู่กัน  เมนูนี้คือ Flourless Chocolate Cake หรือเค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง สายคนรักสุขภาพไม่พลาดแน่นอน รสชาติเข้มข้น หวานน้อย ราดซอสราสป์เบอร์รีฉ่ำ ๆ  บรรยากาศภายร้านแต่ละมุมก็น่านั่งไปหมด เหมาะแก่การมานั่งชิล ๆ ในช่วงวันหยุดสั้น ๆ จิบกาแฟเพลิน ๆ แค่คิดก็ฟินน่าดู  Piccolo Vicolo Café บอกก่อนว่าที่นี่ยังมีมุมลับ ๆ อยู่อีก เดี๋ยวจะพาขึ้นไปชมที่ชั้น 2 กัน บริเวณชั้นที่ 2 ของร้าน Piccolo Vicolo Cafe’ เป็นอาร์ตแกลเลอรี่แบบหมุนเวียน แถมยังได้รับความนิยมไม่น้อย ในภาพนี้คือนิทรรศการ “ดิน นํ้า ลม ไฟ กับใจสองดวง” ที่รวบรวมผลงาน ของ คุณอรพินท์ กุศลรุ่งรัตน์ และ คุณอรพรรณ ลีทเกนฮอสท์ งานเซรามิกที่โดดเด่นด้วยลวดลายจากธรรมชาติ สู่กระบวนการปั้นและเผาจนเกิดเป็นเซรามิกที่สวยงาม แม้ว่างานจะจบลงไปแล้ว แต่เพื่อน ๆ ยังสามารถติดตามงานต่อ ๆ ไปรวมถึงอัปเดตกิจกรรมกันได้ที่https://www.facebook.com/GalileOasis-106387081866312/ ภายในโครงการกาลิเลโอเอซิส มีที่นั่งด้านนอกให้เพื่อน ๆ ได้นั่งพักผ่อนชิล ๆ กันด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะร้อน เพราะที่นี่มีบรรยากาศร่มรื่นมาก ๆ เลยล่ะ

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน

เสาร์อาทิตย์นี้เพื่อน ๆ มีแพลนหรือยัง?? หากใครยังไม่รู้ว่าวันหยุดนี้จะไปเที่ยวไหน หรืออยากเที่ยวใน #กรุงเทพฯ แบบชิล ๆ เดินทางสะดวกรวดเร็ว มาปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน 4 แห่ง ในกรุงเทพฯ กัน ตลาดน้ำ เป็นแหล่งรวมซื้อ-ขายสินค้าหลากหลายตามวิถีชีวิตของชุมชนที่อยู่ติดริมแม่น้ำลำคลอง มักจะนิยมพายเรือขายของกันทางน้ำ และยังดำเนินวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้ตลาดน้ำในปัจจุบันจะแตกต่างจากในอดีตไปบ้างเล็กน้อย แต่ความต้องการอนุรักษ์ไว้ ทำให้ตลาดน้ำเหล่านี้ยังมีชีวิต วันนี้ จะชวนเพื่อน ๆ ไปชิม ชอป ชมตลาดน้ำย่าน #ตลิ่งชัน ตามพิกัดดังนี้📍 ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน📍 ตลาดน้ำตลิ่งชัน📍 ตลาดน้ำคลองลัดมะยม📍 ตลาดน้ำวัดสะพาน เส้นทางเดินรถบัสฟรีเที่ยว 4 ตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน  จะเดินรถแบบวนรอบเมืองไปยังตลาดน้ำแต่ละจุด เริ่มต้นเส้นทางที่ MRT บางขุนนนท์ มุ่งหน้าไปตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน และตลาดน้ำตลิ่งชัน จากนั้น รถจะเข้าไปรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่สายใต้ใหม่ แล้วเดินรถต่อไปยังตลาดน้ำคลองลัดมะยม และตลาดน้ำวัดสะพาน  ให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.45 น. (รอบละ 15-20 นาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรในช่วงนั้น)  การเดินทางไปตลาดน้ำแต่ละแห่งในลิสต์นั้น เพื่อน ๆ สามารถเดินทางได้ง่าย ๆ เพราะตอนนี้ กทม. จัดโครงการดี ๆ พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวตลาดน้ำด้วยรถบัสไฟฟ้าฟรี  จุดที่ให้บริการรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวจุดแรกอยู่ที่ MRT บางขุนนนท์ เพื่อน ๆ ที่มารถไฟฟ้าหรือรถโดยสารธารณะที่ตนสะดวก ให้มาลงที่บริเวณทางออกประตูที่ 2 หรือ 3 (ฝั่งทางเข้าตลาดบางขุนนนท์) เมื่อลงมาใต้สถานี ก็จะเจอจุดคอยรถบัส  รถบัสจะให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-16.45 น. ให้บริการรอบละ 15-20 นาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรด้วย  ใครกลัวว่าจะคอยนาน ไม่ต้องกังวลไป เพราะเพื่อน ๆ สามารถเช็ครถบัสที่ให้บริการในขณะนั้นได้ว่ารถอยู่ที่ไหน ผ่านแอปพลิเคชั่นเวียบัส (Via Bus) โดยการสแกน QR Code ที่ป้ายจุดจอดรถ เท่านี้ก็จะสามารถติดตามรถบัสจาก GPS บนรถแต่ละคันได้  รถบัสจะวิ่งไปตลาดน้ำแต่ละแห่งตามลำดับของเส้นทาง จุดแรก มาเที่ยวที่ “ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน”  รถจะจอดด้านหน้าวัด เพื่อน ๆ สามารถเดินผ่านวัดเข้ามายังตลาดน้ำได้เลย ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน  เป็นตลาดน้ำที่อยู่ระหว่าง 2 คลอง ได้แก่ คลองชักพระและคลองวัดตลิ่งชัน เป็นตลาดที่ร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย แบ่งออกเป็นโซน ๆ ให้เดินซื้อของได้สะดวก มีที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ริมคลอง  ของขายส่วนใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าจะตั้งแผงกันด้านบนพื้นที่ริมคลอง และก็จะมีเรือขายของมาเทียบท่าด้วยเช่นกัน ขอบอกเลยว่าอาหารแต่ละร้านเด็ด ๆ ทั้งนั้น เช่น ก๋วยจั๊บญวน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรโบราณ ขนมเบื้อง หมูสะเต๊ะ ขนมครกเตาถ่าน กาแฟสดหอม ๆ และผักผลไม้จากชาวบ้านอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมีดนตรีสดโดยชาวบ้านในพื้นที่มานั่งร้องเพลงเปิดหมวกให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันด้วย และในแต่ละวัน ทางตลาดน้ำยังมีกิจกรรม Work Shop ให้กับเพื่อน ๆ ที่สนใจมาร่วมสนุกกันได้ สามารถติดตามข่าวสารทางเพจ ตลาดน้ำ2คลอง วัดตลิ่งชัน  ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน  ถนนชักพระ แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 07.00-17.00 น. 08 9205 7532 Facebook: ตลาดน้ำ2คลอง วัดตลิ่งชันhttps://goo.gl/maps/e9173RGiQgKg3qgk8 มาแวะเที่ยวชมกันต่อที่ “ตลาดน้ำตลิ่งชัน”  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชันมากนัก สามารถเดินถึงกันได้ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที หรือใครไม่สะดวกเดิน ก็สามารถรอรถที่จุดจอดรถจากหน้าวัดตลิ่งชัน แล้วนั่งมาลงที่นี่ได้เช่นกัน ชื่อตลาดอาจจะฟังดูคล้ายกัน เพื่อน ๆ อย่าสับสนกันนะ ตลาดน้ำตลิ่งชัน  ตั้งอยู่ติดกับสำนักงานเขตตลิ่งชัน บรรยากาศที่ตลาดน้ำแห่งนี้ค่อนข้างคึกคัก มีของขายมากมาย ตั้งแต่ต้นไม้ อาหารคาวหวานที่ละลานตา ผักผลไม้สด ๆ ที่ชาวบ้านในละแวกนี้เก็บมาขาย บางชนิดหารับประทานได้ยาก ตั้งเรียงตั้งแต่ทางเข้าตลาดไปจนถึงริมคลองด้านใน มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำผลผลิตผักสดผลไม้ที่ปลูกเองมาขาย บางลำก็ขายอาหารคาว ขนมหวาน รวมทั้งสินค้าหัตถกรรมต่าง ๆ ส่วนบนแพก็ยังมีร้านค้าอีกคับคั่ง  ช่วงกลางวัน ประมาณ 11.00-14.00 น. ในตลาดยังมีการแสดงดนตรีไทย รวมทั้งมีคาราโอเกะในสวนให้เพื่อน ๆ ได้ไปร้องเพลง หรือฟังเพลงกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย  ที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน มีเรือนำเที่ยวให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องเรือเที่ยวชมคลอง ตามเส้นทางที่ทางเรือจัดไว้ให้ มีทั้งให้บริการเป็นรอบ ๆ และแบบเหมาลำ สามารถไปติดต่อสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่บริเวณทางเข้าด้านในริมคลอง   ตลาดน้ำตลิ่งชัน  ติดกับสำนักเขตตลิ่งชัน แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-17.00 น. 08 7694 3219https://goo.gl/maps/WN38FEuCfQWtKBFz5 ออกมาขึ้นรถบัสที่หน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน แล้วมาต่อกันที่ “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม”  ตลาดน้ำยอดฮิตที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่นี่จำนวนมาก เพราะเป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ มีสินค้ามากมาย และมีกิจกรรมให้เพื่อน ๆ ได้ร่วมสนุกกัน  ระหว่างทางก่อนมาที่นี่ รถบัสจะเข้าไปรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่ขนส่งสายใต้ใหม่ด้วยนะ หากเพื่อน ๆ สะดวกไปขึ้นหรือลงรถที่นั่น ก็สามารถไปได้เช่นกัน ประเดิมที่ของกินกันก่อน  ภายในตลาดน้ำคลองลัดมะยมมีร้านค้าร้านอาหารจำนวนมาก เดินไปโซนไหนก็น่าซื้อไปหมด ไม่ว่าจะเป็น หมี่กะทิ ขนมเบื้องโบราณ ขนมจีนน้ำยาปู ก๋วยเตี๋ยวชามกะลา ผัดไท ทะเลเผา ขนมไทยหลากชนิด และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากของกินแล้วก็ยังมีของใช้ของประดับต่าง ๆ ทั้งเสื้อผ้า ของเล่น เครื่องปั้นดินเผา ของเก่าน่าสะสม และร้านต้นไม้  ที่นี่ยังมีร้านให้บริการนวดแผนไทยด้วยนะ ใครปวดเมื่อยตัวก็มาแวะก่อนได้ เดินเลียบริมคลอง ก็จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าบรรทุกสินค้าในเรือมาจอดเลียบคลองขายของกันตลอดทาง …

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน อ่านเพิ่มเติม

✨เสพศิลป์ กินอร่อย @ย่านทรงวาด ✨

ทรงวาด ถนนเส้นเล็ก ๆ ขนานกับถนนเยาวราชที่มีระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร เป็นย่านเก่าแก่ที่ยังมีอาคารสวย ๆ อายุหลักร้อยปีหลงเหลือให้ได้เห็นจนถึงปัจจุบัน แม้ถนนทรงวาดจะไม่คึกคักเหมือนถนนเยาวราช แต่เสน่ห์ของที่นี่คือความร่องรอยความเก่า ที่สวยงามแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่แฝงอยู่ในร้านอาหารใหม่ ๆ แกลเลอรี่และร้านกาแฟเก๋ ๆ โฮสเทลดีไซน์สวยงามตามแบบสมัยนิยม รวมไปถึงศาลเจ้า วัดและมัสยิดเก่าแก่ ที่แทรกอยู่ในหลืบซอยให้ชาวชุมชนได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ หากเพื่อน ๆ มีเวลาว่างสัก 1 วัน อยากให้ลองอ่านคอนเทนต์นี้แล้วตามรอยดู เชื่อว่าเสน่ห์ทรงวาดจะทำให้เพื่อน ๆ ประทับใจได้แน่นอน ถนนทรงวาดตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในอดีตเป็นศูนย์กลางการค้านำเข้า-ส่งออกสินค้านานาชนิด โดยมีที่มาของชื่อจาก จากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้วาดแนวถนนเส้นนี้ลงบนแผนที่ เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2449 แม้ว่าถนนทรงวาดในปัจจุบันจะไม่คึกคักเท่าแต่ก่อน แต่ร่องรอยของความรุ่งเรืองยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่จะนำมาเสนอวันนี้คือ1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เซี้ยอึ้งกง2. ก๋วยจั๊บถังไม้ ตรอกอาเนียเก็ง3. ร้าน F.V4. PLAY art house5. Naam1608 หนึ่งในตึกสวยของหัวมุมถนนทรงวาด คือตึกเก่าทรงสวยที่เรียกกันว่าตึกแขก เดิมเป็นที่ตั้งของห้าง เอ.ที.อี. มัสกาตี (A.T.E Maskati) บริษัทนำเข้าสินค้าโดยพ่อค้าชาวอินเดียจากเมืองอาร์เมดาบัด เพื่อนำมาขายในเมืองไทยและประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซุ้มหน้าต่างของตัวตึกมีทรงโค้ง ประกอบแผ่นไม้ฉลุเป็นลายลูกไม้ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับที่พบในอินเดียตะวันตก เมืองสุรัตและในเมืองมุมไบ ที่ได้รับอิทธิพลแบบอิสลามจากในช่วงที่ปกครองโดยสุลต่าน ใครมาเที่ยวเล่นแถวทรงวาด ต่างต้องมาถ่ายรูปไว้เสมอ ถือเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของถนนทรงวาดเลยล่ะ 1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี้ยอึ้งกง เริ่มเที่ยวกันที่ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี้ยอึ้งกง ที่สร้างโดยเจ้าสัวติก จากการขอพระราชทานที่ดินจากรัชกาลที่ 5 เพื่อสร้างตึกแถวภายในตรอกแตง และแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นศาลเจ้าขนาดเล็กเพื่อประดิษฐานเทพเจ้าหลักเมืองหรือเซี้ยอึ้งกง ที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ภายในศาลเจ้ามีระฆังโบราณ ที่มีข้อความระบุไว้ว่า “ปีที่ 22 แห่งรัชสมัยพระเจ้าเต้ากวง” หรือเทียบได้กับปี พ.ศ. 2385 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ในหมู่ศาลเจ้าจีนบริเวณย่านทรงวาดและสำเพ็ง ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และมีคติความเชื่อที่น่าสนใจแตกต่างจากศาลเจ้าอื่น ๆ ในย่านนั้น เนื่องจากเทพเจ้าเซี้ยอึ้งกง ซึ่งเป็นประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ คือเทพหลักเมืองตามความเชื่อของคนจีน ซึ่งจะมีการตั้งศาลเจ้าหลักเมืองที่ข้างกำแพงเมืองหรือคูเมือง ที่เป็นทางเข้าออก ซึ่งทุกคนจะต้องผ่านศาลนี้เพื่อเป็นการขออนุญาต และยังเชื่อว่าเทพเจ้าหลักเมืองมีหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของดวงวิญญาณ หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งเทพหลักเมืองให้ทราบก่อนที่จะเคลื่อนย้ายหรือนำศพไปฝังอีกด้วย นอกจากคติความเชื่อเกี่ยวกับความตายของศาลเจ้าแห่งนี้แล้ว ชาวชุมชนในพื้นที่ยังนิยมมาไหว้ขอพรเกี่ยวกับด้านธุรกิจการค้า ให้ราบรื่น สำเร็จลุล่วง แถมในศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีพระพุทธชินราชที่สามารถมาไหว้ขอพรเรื่องโชคลาภและเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย 2. ก๋วยจั๊บถังไม้ ตรอกอาเนียเก็ง ร้านก๋วยจั๊บน้ำใสเก่าแก่ระดับตำนาน ที่เปิดมานานกว่า 60 ปี เด่นที่ทางร้านจะนำเส้นก๋วยจั๊บแช่ไว้ในถังไม้ เพื่อกักเก็บความร้อน เลยเป็นที่มาของชื่อร้าน แถมน้ำซุปใสมีรสชาติกลมกล่อม หอมพริกไทย เครื่องในสดใหม่ไร้กลิ่นคาว เครื่องแน่นทุกชาม ยิ่งใครชอบหมูกรอบรับรองเลยว่าต้องติดใจ แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในตรอก แต่ลูกค้าทยอยมากันไม่ขาดสาย แม้ว่าเวลาปิดร้านจริงคือบ่าย 2 โมง แต่ใครมาหลังบ่ายโมงก็อาจต้องลุ้นว่าจะอดกิน เพราะร้านนี้ของหมดไวมาก หากใครชอบตึกสวย ๆ สามารถแวะไปชมความสวยงามของโรงเรียนเผยอิง ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านหลังศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงได้ ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปีแล้ว ผ่านช่วงสงครามโลก ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีน ผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจมากมาย แต่อาคารแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพดี เป็นตึกสวยหลังศาลที่ยังอยู่คู่ถนนทรงวาดต่อไปดังที่เคยเป็นมา แต่หากเพื่อน ๆ ต้องการถ่ายภาพตึกแล้วเผยแพร่ ต้องทำหนังสือขอล่วงหน้าด้วยนะ เพราะทางโรงเรียนอนุญาตให้ชมได้ด้วยตาเท่านั้น  3. ร้าน F.V F.V ย่อมาจาก Fruit & Vegetables เป็นร้านรวมของดี ที่ตัวร้านเป็นอาคารปูนเก่าที่ภายในตกแต่งแบบจัดเต็ม มีการสร้างยุ้งฉางจำลองที่สามารถขึ้นไปนั่งกินนั่งดื่มได้ ตามกำแพงแขวนรูปภาพที่ดูทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ที่ทางร้านเลือกใช้ก็มีทั้งแนววินเทจและโมเดิร์น ผลลัพธ์ที่ออกมาสวยเก๋มีสไตล์สุด ๆ  เครื่องดื่มของทางร้าน ก็ค่อนข้างแปลกไปจากคาเฟ่อื่น ๆ อย่างเมนูชา ที่ทางร้านจะนำพืชที่หลายคนมักมองข้ามมาสกัดให้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น ต้นไมยราบ ตำลึง ลางสาด หรือวัชพืชที่ขึ้นรกอยู่ตามรั้วบ้าน แถมยังมีเมนูที่ทำจากวัตถุดิบตามฤดูกาลเวียนไปเรื่อย ๆ จนทำให้ร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่มีลูกค้าแวะเวียนกลับมาอุดหนุนอยู่เป็นประจำ อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของถนนทรงวาด คือมัสยิดหลวงโกชา อิศหาก มัสยิดแห่งเดียวในย่านชุมชนจีน ที่ตัวอาคารเป็นอาคารสีเหลืองสไตล์นีโอคลาสสิก ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคล มีลูกหลานหลวงโกชาฯ เป็นผู้ดูแล แต่เปิดให้ชาวมุสลิมโดยรอบสามารถเข้ามาละหมาดได้ 4. PLAY art house PLAY art house เป็นแกลเลอรีงานศิลปะร่วมสมัยแห่งแรกบนถนนทรงวาด ตัวอาคารมี 3 คูหา เหนือประตูแขวนป้ายทรงกลม พร้อมโลโก้รูปหัวเสาแบบไอออนิก (Ionic Order) หนึ่งในสามแบบเสาคลาสสิกของกรีกและโรมันโบราณ พร้อมด้วยผนังสีน้ำเงินเด่นตัดด้วยสีดำของหน้าต่าง ประตู ที่เจ้าหน้าที่มักจะกล่าวเชิญชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแวะเข้ามาภายในด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ ๆ แม้ในอดีตที่นี่จะเป็นโกดังรองเท้า แต่ปัจจุบันเจ้าของตึกได้เปลี่ยนเป็นแกลลอรี่ ที่จัดแสดงภาพถ่ายและงานศิลปะแบบหมุนเวียน ซึ่งบ่อยครั้ง ผลงานที่จัดแสดงจะสะท้อนมุมมองของศิลปินที่มีต่อย่านทรงวาดในหลายแง่มุม ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถเรียนรู้ความเป็นทรงวาดได้ดีทีเดียว 5. Naam 1608 ปิดวันกันที่ร้านอาหารไทยพื้นถิ่นฟิวชั่นติดริมแม่น้ำ ที่เหมาะกับการมานั่งหย่อนอารมณ์ ชมวิวพระทิตย์ตกดินพร้อมกับกินของอร่อย นอกจากวิวแล้ว วัตถุดิบ เมนูอาหารและการบริการของทางร้านก็ดีไม่แพ้กัน แม้รสชาติอาจจะปรุงมากลาง ๆ เพราะลูกค้าที่มาอุดหนุนมีหลายเชื้อชาติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอร่อยเลยล่ะ แต่แนะนำให้โทรศัพท์จองล่วงหน้า เพราะหากใครไปโดยไม่จอง มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้โต๊ะ

🌸 ชมพูพันธุ์ทิพย์บานแล้ววว 🌸

ดอกไม้หน้าร้อนที่สวยไม่แพ้ใครอย่างชมพูพันธุ์ทิพย์ ที่จะออกดอกบานสะพรั่งปีละครั้งก็เริ่มทยอยบานแล้ว สวยหวานได้ฟีลเหมือนต่างประเทศเลยล่ะ วันนี้มีเกร็ดความรู้ของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์มาให้อ่านกันเพลิน ๆ ค่ะ ชมพูพันธุ์ทิพย์ หรือชมพูอินเดีย หรือตาเบบูย่าสีชมพู เป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดจากเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ มีการนำมาปลูกกันอย่างแพร่หลาย เป็นไม้ประดับตกแต่งและให้ร่มเงาในสวนสาธารณะหรือตามถนนหนทาง กิ่งเปราะ ดอกร่วงหล่นง่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยค่ะ ชมพูพันธุ์ทิพย์จะผลัดใบในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม และจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งช่วงออกดอกบานเต็มต้นประมาณ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น จากนั้นดอกจะค่อย ๆ ร่วงแล้วแตกใบใหม่ รู้แบบนี้ต้องรีบมาชมกันแล้วนะ สำหรับใครที่อยากไปชมดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่ง เรามีพิกัดใกล้กรุงเทพฯ มาฝาก แนะนำให้ไปช่วงเช้า ๆ หรือบ่ายแก่ ๆ เพราะอากาศไม่ร้อนมาก และอยากให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศในการชื่นชมดอกไม้ด้วยนะคะ ไม่ป่ายปีน โน้มกิ่ง หักกิ่ง เด็ดดอกไม้เล่นและไม่ทิ้งขยะในบริเวณพื้นที่นั้น ๆ กันนะคะ จะมีที่ไหนบ้างมาดูกันเลย สวนจตุจักร กรุงเทพฯ บานแล้ว ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/CjZDiwKn3khXb9he9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คาดว่าจะบานเต็มที่ช่วงต้นเดือนมีนาคม ตำบลกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม https://goo.gl/maps/CQMXUNDP7jnj9dAAA สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) บานแล้ว ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/X73ZPX3mTwfoWrvA7 สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 7 บานแล้ว แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/ELWveU2xz84xrRmN6

Scroll to Top