เพื่อนร่วมทาง

15 สิ่งต้องห้ามพลาด…ปัตตานี

“เมืองงามสามวัฒนธรรม ศูนย์ฮาลาลเลิศล้ำ ชนน้อมนำศรัทธา ถิ่นธรรมชาติงามตา ปัตตานีสันติสุขแดนใต้” ในอดีตปัตตานีเคยเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เคยเป็นที่แวะจอดเรือเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างพ่อค้าชาวอินเดียกับชาวจีนมาก่อน แต่เดิมชาวเมืองปัตตานีนับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์ และตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมืองชายแดนใต้แห่งนี้นับว่ามีเสน่ห์น่าสนใจ ทั้งวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ภาษา และอาหาร จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์หลงเหลือให้ได้ศึกษาเรียนรู้ รวมถึงความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีพื้นที่เป็นป่าเขาและพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลเป็นระยะทางยาวกว่า 170 กิโลเมตร จึงมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ตามมาทำความรู้จัก 15 จุดเช็กอิน ที่ต้องห้ามพลาดของจังหวัดนี้กันในรีวิวค่ะ 1. มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี สร้างในปี พ.ศ. 2497 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ จากทางเข้าด้านหน้าเป็นทางเดินทอดยาวสู่อาคารมัสยิด สองข้างทางเดินมีการปลูกต้นปาล์มเพิ่มความร่มรื่น ตรงกลางด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำพุขนาดใหญ่ช่วยเสริมภูมิทัศน์ภายนอกของมัสยิดให้งดงามยิ่งขึ้น อาคารมัสยิดมีรูปทรงคล้ายกับทัชมาฮาลของประเทศอินเดีย ตรงกลางอาคารมียอดโดมขนาดใหญ่และมีโดมบริวารล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ถัดออกไปด้านข้างอาคารมีหออะซานอยู่ทั้งสองข้าง (หออะซาน คือ หอคอยที่ใช้สำหรับแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาละหมาด) ภายในมัสยิดสร้างเป็นห้องโถง มีระเบียงสองข้าง ด้านในห้องโถงมีมิมบัรทรงสูงและแคบตั้งอยู่ (มิมบัร คือ สถานที่สูงในมัสยิดลักษณะเป็นบันไดหลาย ๆ ขั้นให้เดินขึ้นสู่บัลลังก์สำหรับให้ผู้นำอ่านพระคัมภีร์) มัสยิดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นมัสยิดที่สวยงามที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย (การเที่ยวชมมัสยิด ควรสำรวมและแต่งกายสุภาพ) ถนนยะรัง ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีhttps://goo.gl/maps/if5sZpkjQ7MVWReB9 2. ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ศาลเจ้าเล่งจูเกียง) ที่นี่เป็นศาลเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปัตตานี มีต้นตระกูลคณานุรักษ์เป็นผู้สร้างและดูแล ลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียวแบบจีน แบ่งเป็นโถงกลาง ปีกซ้ายและปีกขวา ภายในศาลเจ้าประดิษฐานรูปแกะสลักของ “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” จากกิ่งต้นมะม่วงหิมพานต์ และ “โจวซือกง” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย และเป็นองค์เทพประธานประจำศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าจีนอีกหลายองค์อยู่ภายในศาลด้วย ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จะมีการจัดงานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปตามถนนสายต่าง ๆ ภายในตัวเมืองปัตตานี มีพิธีลุยไฟบริเวณหน้าศาลเจ้า และว่ายน้ำข้ามแม่น้ำปัตตานีบริเวณสะพานเดชานุชิต ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้ที่เคารพศรัทธามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เปิดทุกวัน เวลา 06.00-17.00 น. อยู่ถนนอาเนาะรู ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีhttps://goo.gl/maps/oQQ8GH8mFhQeWYo87 3. มัสยิดกรือเซะ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชุมชนกรือเซะเคยเป็นที่ตั้งของเมืองปัตตานี และเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการค้าขาย สำหรับมัสยิดกรือเซะ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน มีอายุเก่าแก่มากกว่า 200 ปี กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2478 และมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่เรื่อยมา เพื่อให้มัสยิดกรือเซะคงสภาพเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี ลักษณะอาคารมัสยิดสร้างด้วยอิฐ เสาทรงกลม ประตูรูปโค้งแหลม ก่ออิฐถือปูนแบบศิลปะทางตะวันออกกลาง ผู้ออกแบบสร้างมัสยิด คือ ซัยคซอฟียุดดีน อัลอิสมอิมาส อูละมะอะ แห่งปอเนาะ มัสยิดกรือเซะยังคงเปิดใช้งานในการปฏิบัติศาสนกิจจนถึงปัจจุบัน (การเที่ยวชมมัสยิด ควรสำรวมและแต่งกายสุภาพ) ริมทางหลวงหมายเลข 42 (ถนนสายปัตตานี-นราธิวาส) บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กิโลเมตรhttps://maps.app.goo.gl/KigzHfJT26ECBFJKA 4. ชุมชนท่องเที่ยวบางปู ชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชนเป็นป่าชายเลนบริเวณปากอ่าวปัตตานี และมีลำคลองที่ไหลออกสู่อ่าวปัตตานี ได้แก่ คลองกอและ คลองกือเงาะ และคลองบางปู เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด เช่น โกงกาง แสมดำ ลำภูทะเล และโพธิ์ทะเล เป็นต้น กิจกรรมท่องเที่ยวของชุมชน ได้แก่ การล่องเรือชมป่าชายเลนและป่าโกงกาง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี บางช่วงของเส้นทางล่องเรือจะพบต้นโกงกางจากสองฝั่งคลองทอดตัวโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์โกงกาง มีความยาวประมาณ 700 เมตร ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังมีนกน้ำนานาชนิดให้ได้พบเจอตลอดเส้นทาง รวมทั้งทัศนียภาพที่สวยงามของอ่าวปัตตานี สอบถามข้อมูล โทร. 08 1805 8761, 08 6491 2556 การเดินทาง : จากตัวเมืองปัตตานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ประมาณ 8 กิโลเมตร และเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือก่อนถึงโรงเรียนบ้านบือเจาะ ตรงไปจนพบทางแยก ให้เลี้ยวขวาและตรงไปจนถึงโรงเรียนบ้านบางปู จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรกถัดจากหน้าโรงเรียน ตรงไปจนสุดทางจะพบท่าเรือของชุมชนท่องเที่ยวบางปู ระยะทางรวมจากตัวเมืองปัตตานีประมาณ 11 กิโลเมตร ตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีhttps://goo.gl/maps/s1HNFrxkDsRwwFEm6 5. แหลมตาชีและหาดตะโละกาโปร์ “แหลมตาซี” ลักษณะเป็นชายหาดที่มีปลายแหลมโค้งคล้ายรูปตัว C เกิดจากการก่อตัวของสันทรายที่ยื่นออกไปในทะเลในลักษณะสันดอนจะงอย โดยปลายแหลมจะงอกเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นแหลมกั้นอ่าวปัตตานี (ทะเลใน) และอ่าวไทย (ทะเลนอก) บริเวณด้านในของแหลมฝั่งที่หันหน้าเข้าหาแผ่นดินใหญ่ เป็นที่ตั้งของชุมชนมากมาย เช่น บ้านดาโต๊ะ บ้านตะโละสะมิแล บ้านบูดี ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก และมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น ปลากะพง หอยแครง หอยแมลงภู่ เป็นต้น และบริเวณด้านนอกของแหลมฝั่งที่หันหน้าออกทะเลกว้าง มีที่พักเอกชนให้บริการหลายแห่ง ปลายสุดของแหลมตาซีสามารถชมทัศนียภาพของพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดเดียวกัน “หาดตะโละกาโปร์” อยู่ทางใต้ของแหลมตาซี ลักษณะชายหาดทอดยาว มีต้นสนทะเลและต้นมะพร้าวขึ้นขนานไปตามแนวชายหาดและถนน มีเรือกอและของชาวบ้านในพื้นที่จอดเรียงราย ทั้งยังมีที่พักและร้านอาหารตั้งกระจายอยู่ตลอดแนวหาด เหมาะแก่การเดินเล่น ปั่นจักรยาน พักผ่อนชมธรรมชาติ การเดินทางไปแหลมตาชีไปได้ 2 ทาง คือ ทางน้ำ : นั่งเรือจากปากแม่น้ำปัตตานีตรงไปยังแหลมตาชี หรือใช้บริการเรือจากชุมชนท่องเที่ยวต่าง ๆ ในอ่าวปัตตานี เช่น ชุมชนท่องเที่ยวบางปู ชุมชนท่องเที่ยวบูนาดารา ไปยังแหลมตาชี ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทางบก : จากตัวเมืองปัตตานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ประมาณ 12 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงชนบท ปน.2062 […]

15 สิ่งต้องห้ามพลาด…ปัตตานี อ่านเพิ่มเติม

รวมข้อมูลงานสงกรานต์ 5 ภาค

ประชาสัมพันธ์ข้อมูลงานสงกรานต์ 5 ภาค สงกรานต์นี้ ใครมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนหรือยัง? วันนี้บัดดี้มีข้อมูล “งานเทศกาลสงกรานต์ 2567” จาก 5 ภาคมานำเสนอ ใครอยากไปงานไหน เตรียมตัววางแผนเก็บกระเป๋าออกไปเล่นน้ำท้าแดดในเทศกาลปีใหม่ของไทยกันได้เลย ส่วนเพื่อน ๆ ที่ยังรอข้อมูลเพิ่มเติม ติดตามกันเลย บัดดี้จะนำข้อมูลมาอัปเดตอีกเรื่อย ๆ

รวมข้อมูลงานสงกรานต์ 5 ภาค อ่านเพิ่มเติม

อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี ระนอง

One Day Trip “อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี” จังหวัดระนอง อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี มีอาณาเขตครอบคลุมตลอดแนวแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างไทยและเมียนมา รวมทั้งผืนป่าชายเลนและป่าดิบชื้น โดยมีพื้นที่อุทยานฯ ทั้งสิ้นประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในพื้นที่อุทยานฯ ได้แก่1. บ่อน้ำแร่ร้อนหาดยาย บ่อน้ำแร่ร้อนหาดยาย เป็นน้ำแร่ร้อนที่ผุดขึ้นมาจากผิวดินตามธรรมชาติ เกิดจากภายใต้ชั้นหินที่มีรอยแตกของเปลือกโลก เมื่อเจอพลังงานความร้อนและแรงดัน ทำให้ในชั้นหินมีน้ำซึมผ่านขึ้นมา อุณหภูมิน้ำที่ผุดขึ้นมาเฉลี่ยประมาณ 49 องศาเซลเซียส ที่นี่มีการสร้างบ่อสำหรับแช่ตัวและแช่เท้าแบบบ่อรวม เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวจำนวน 2 บ่อ นอกจากนี้ยังมีบ่อแช่ส่วนตัวอีก 4 ห้อง โดยมีการเดินท่อนำน้ำแร่จากแหล่งกำเนิดมาผสมกับน้ำอุณหภูมิปกติ ก่อนปล่อยน้ำเข้าสู่บ่อแช่ที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งจะมีอุณหภูมิน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 38-43 องศาเซลเซียล เป็นอุณหภูมิที่เหมาะกับการแช่ตัวและเท้าเพื่อบำบัดรักษาโรคและผ่อนคลาย อัตราค่าบริการบ่อน้ำแร่ร้อน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ราคาเดียวกัน คือ  ที่ตั้ง : หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กบ.1 อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี หมู่ที่ 2 ตำบลบางพระเหนือ อำเภอละอุ่น จังหวัดระนองพิกัด : https://maps.app.goo.gl/ij9wr3j4Fx9FAMUE7 2. น้ำตกปุญญบาล ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองระนอง 14 กิโลเมตร สามารถมองเห็นน้ำตกได้จากถนนเพชรเกษม มีน้ำตลอดทั้งปี ต้นน้ำเกิดจากลำห้วยที่ไหลมาจากป่าสงวนแห่งชาติป่าละอุ่น ป่าราชกรูด เกิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม น้ำตกปุญญาบาลมีทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 ปุญญบาล ชั้นที่ 2 โตนต้นเฟิร์น ชั้นที่ 3 โตนไม้ไผ่ ปลายทางน้ำตกไหลลงสู่คลองเสร็จตะกวด บริเวณโดยรอบน้ำตกเป็นป่าดิบชื้นที่มีความเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 300 เมตร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินศึกษาแหล่งต้นน้ำและระบบนิเวศป่าดิบชื้น พื้นที่บริเวณด้านล่างของน้ำตกมีลานหินโล่ง เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนและถ่ายภาพ ด้านหน้าทางเข้าน้ำตกมีลานจอดรถ ร้านกาแฟ และห้องน้ำให้บริการ ปัจจุบันฝั่งตรงกันข้ามมีสะพานให้เดินทอดยาวมายังฝั่งน้ำตกได้ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปเช็กอินกันอีกจุด ที่ตั้ง : ริมทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ระหว่างกิโลเมตรที่ 597-598 ฝั่งขาเข้าตัวเมืองระนอง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนองพิกัด : https://maps.app.goo.gl/QtRGX9NsGdn7J2a3A 3. เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนลำน้ำกระบุรี เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนลำน้ำกระบุรี ได้รับการพัฒนาปรับปรุงขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อให้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติและพักผ่อนหย่อนใจ ลักษณะทางเดินเป็นสะพานไม้ยกระดับเหนือพื้นดิน มีระยะทาง 900 เมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายบอกชื่อพันธุ์ไม้และสัตว์ต่าง ๆ ที่สามารถพบได้ในพื้นที่ เช่น ลิงแสม ปลาตีน ปูก้ามดาบ เป็นต้น ที่ตั้ง : ตรงข้ามกับที่ทำการอุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนองพิกัด : https://maps.app.goo.gl/qByLwSmfFTJTQJ1m6 4. จุดชมวิวเขาคอม้า ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้ขับรถตรงขึ้นเขาไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถึงจุดชมวิวเขาคอม้า บริเวณจุดชมวิวสามารถชมทัศนียภาพอันกว้างไกลของแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นเขตแดนระหว่างไทยและเมียนมา รวมทั้งเกาะต่าง ๆ กลางแม่น้ำ เช่น เกาะขวาง เกาะยาว เกาะปลิง เกาะโชน เกาะเสียด และเกาะนกเปล้า ตลอดจนทิวทัศน์ของป่าชายเลนที่ได้ชื่อว่ามีความสมบูรณ์มากอีกแห่งของประเทศไทย ทั้งยังเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าที่สวยงามอีกแห่ง บริเวณนี้สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ ที่ตั้ง : ที่ทำการอุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนองพิกัด : https://maps.app.goo.gl/gcsDKiNL2QF6EicH9 อัตราค่าบริการเข้าอุทยานฯ บัตรค่าบริการเข้าอุทยานฯ สามารถเก็บไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าท่องเที่ยวตามจุดต่าง ๆ ในเขตอุทยานฯ เดียวกันได้ ภายใน 24 ชั่วโมง การเดินทาง : ห่างจากตัวเมืองระนองประมาณ 17 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง-ชุมพร) จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 595 จะพบสี่แยกตำบลทรายแดง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงชนบท รน.4010 ตรงไป 2 กิโลเมตร จะพบที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ริมถนนทางซ้ายมือ สอบถามข้อมูล โทร. 0 7798 9817

อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี ระนอง อ่านเพิ่มเติม

 ตะลุยสวนส้ม แม่ริม จ.เชียงใหม่

วันนี้นอกจากบัดดี้จะพาไปเที่ยวสัมผัสอากาศเย็นสบาย ชมทิวเขาที่สวยงามแล้ว บัดดี้อยากแนะนำให้ไปเที่ยว “สวนส้มในจังหวัดเชียงใหม่” ด้วยนะ นอกจากจะได้ชิมส้มสด ๆ จากสวนแล้ว หลาย ๆ ที่ยังจัดมุมสวย ๆ ให้เราได้โพสท่าถ่ายรูปกันแบบจุก ๆ เอามาลงโซเชียลอวดเพื่อน ๆ กันได้แบบรัว ๆ เลย แล้วก็ยังสามารถซื้อส้มติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วยนะ บัดดี้มีมาแนะนำ 4 สวน ได้แก่ 1. สวนส้มในฝัน ดอยม่อนแจ่ม สวนส้มในฝัน ดอยม่อนแจ่ม: https://www.facebook.com/profile.php?id=100068079919559 เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท https://maps.app.goo.gl/Nv4AaYSQxvNpy6wg9 2. สวนส้มเปาเปา โฮมสเตย์ เชียงใหม่ สวนส้มเปาเปา โฮมสเตย์ เชียงใหม่: https://www.facebook.com/paopao.farm  เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็กอายุ 5-10 ปี 50 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเข้าฟรี https://goo.gl/maps/h4jkLrFXWxdKKphH7 3. สวนของฉัน My garden – ม่อนแจ่ม สวนของฉัน My garden – ม่อนแจ่ม: https://www.facebook.com/MygardenMonjam  เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 70 บาท เด็ก 40 บาท https://maps.app.goo.gl/tXg4MQnpj7tkpATe8 4. สวนดอกไม้ ป้างฮวา&สวนส้ม สวนดอกไม้ ป้างฮวา&สวนส้ม: https://www.facebook.com/profile.php?id=100065421252761 เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. ผู้ใหญ่ 70 บาท เด็ก 40 บาท https://goo.gl/maps/GQbs5AnWikypkesz6

 ตะลุยสวนส้ม แม่ริม จ.เชียงใหม่ อ่านเพิ่มเติม

 ฟาร์มโชคชัย นครราชสีมา

“ฟาร์มโชคชัย” เป็นฟาร์มที่เรามักจะนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ว่าเป็นฟาร์มโคนมที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดย ดร.โชคชัย บูลกุล ได้ริเริ่มทำฟาร์มปศุสัตว์บนพื้นที่ 250 ไร่ และในปี พ.ศ. 2521 ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นฟาร์มโคนมโดยสมบูรณ์ รวมพื้นที่เป็น 12,000 ไร่ และมีการเลี้ยงโคนมในฟาร์มหลายพันตัว นอกจากจะประสบความสำเร็จในเรื่องของฟาร์มโคนมแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความหลากหลายทั้งเรื่องธรรมชาติ กิจกรรมสนุกสนาน และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรมที่ให้เพื่อน ๆ ได้เข้าไปเรียนรู้และสัมผัสการทำฟาร์มโคนมได้อย่างเพลิดเพลิน กิจกรรมที่ “ฟาร์มโชคชัย” มีหลากหลายกิจกรรมดี ๆ ที่รอให้เราไปสนุกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ป้อนหญ้าแกะฝูงใหญ่ บริเวณด้านหน้าฟาร์ม ค่าบริการหญ้ากำละ 40 บาท ชมทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ที่ฟาร์มโชคชัย จะมีจัดโซนแปลงดอกไม้หลายชนิด สลับกันไปตามแนว มีสีสันสวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นดอกหงอนไก่ ดอกบานเย็น ดอกกระดาษ ดอกน้ำพุแดง ทุ่งคอสมอส ทุ่งทานตะวัน เดินถ่ายรูปได้อย่างเพลิดเพลินเลย โดยทุ่งดอกไม้ที่นี่เปิดให้ชมตลอดทั้งปี และอาจจะผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาลนะ กิจรรมสายลุยก็มี ที่นี่มีทั้ง ATV และ UTV ให้ขับ สำหรับใครที่ไม่เคยขับขี่มาก่อน ไม่ต้องกังวลเลย มีเจ้าหน้าที่คอยสาธิตและดูและความปลอดภัยให้ ค่าบริการ ATV 220 บาท/คน , UTV 330 บาท/คน แอบบอกก่อนว่านี่เป็นการขับ ATV ครั้งแรกของบัดดี้เลย และพี่เจ้าหน้าที่สอนเข้าใจง่ายสุด ๆ จึงใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่นาน พอขับเป็นแล้วก็ไม่รอช้า ออกไปสนุกกันเลย สนามขับ ATV ที่นี่ค่อนข้างใหญ่ ระยะทางขับประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถชมธรรมชาติทั้งสองข้างทางได้อย่างเพลิดเพลิน สัมผัสวิถีชีวิตและทดลองเป็นคนเลี้ยงโคนม ที่รีดนมวัวด้วยมือเปล่าแบบดั้งเดิม มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและสาธิตการรีดนมวัวอยู่ด้วยตลอด และนมที่รีดได้ก็จะนำไปเข้าโรงผลิตต่อด้วยเช่นกัน ค่าบริการ 50 บาท/คน จะเห็นว่าที่นี่มีโคนมเยอะมาก ๆ และประสบความสำเร็จได้อย่างดี มีผลิตภัณฑ์โคนมออกมาหลายชนิด ในแบรนด์ อืมม!..มิลค์ โดยมีจุดขายของผลิตภัณฑ์คือความสดใหม่ เพราะมีโรงงานผลิตอยู่ห่างจากจุดที่รีดนมไม่ถึง 50 เมตร ผลิตจากน้ำนมดิบที่ได้จากการคัดสรรพันธุกรรมโคนมอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็น นมสดพาสเจอร์ไรส์ ลูกอม นมอัดเม็ด ไอศกรีมแสนอร่อยที่ใครมาก็ห้ามพลาดชิม นอกจากเรื่องฟาร์มโคนมแล้ว ที่ฟาร์มโชคชัย ยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งคาวบอยเมืองไทยอีกด้วย บนพื้นที่ของฟาร์มโชคชัยที่ได้จัดโซนการแสดงคาวบอย แสดงถึงวิถีชีวิต การขี่ม้า การใช้เชือกเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ของคาวบอย การแสดงคาวบอยที่ฟาร์มโชคชัย จะมีเฉพาะวันเสาร์- อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ รอบการแสดง 11.20 / 12.20 /13.20 / 14.20หมายเหตุ : อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ชมพิพิธภัณฑ์ฟาร์มโชคชัย อาคารที่รวบรวมเรื่องราวความเป็นมา และความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับฟาร์มโชคชัย นอกจากนี้ก็ยังจำลองเมืองคาวบอยให้เราได้ชมอีกด้วย อีกชั้นหนึ่งในอาคารพิพิธภัณฑ์ฟาร์มโชคชัย มีการจำลองป่าดงพญาเย็น ป่าดงดิบ ที่อุดมไปด้วยสัตว์ป่ามากมายภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เผยให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่าป่าดงพญาไฟ เพื่อน ๆ สามารถแวะมาเที่ยวชมกันได้ ที่ฟาร์มโชคชัย ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่เพื่อน ๆ สามารถใช้เวลาไปเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ค่าใช้จ่าย และแผนที่ของฟาร์มได้ที่ https://farmchokchai.com/home/map/ ฟาร์มโชคชัย ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ช่วงกิโลเมตรที่ 159-160 ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เปิดทุกวัน เวลา 09.30-16.30 น. 09 8719 4464, 06 1394 5890 Facebook : Farm Chokchai https://maps.app.goo.gl/dTAeYvTzHyK2TLdH9

 ฟาร์มโชคชัย นครราชสีมา อ่านเพิ่มเติม

 อีซี่คาร์ท พัทยา (แหลมบาลีฮาย)

วันนี้บัดดี้มาแนะนำกิจกรรมท้าทายความเร็วให้กับตัวเอง อยู่ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่นี่คือ “อีซี่คาร์ท พัทยา (แหลมบาลีฮาย)” สนามโกคาร์ทกลางแจ้งขนาดใหญ่ ก่อตั้งและออกแบบโดยอดีตนักแข่งโกคาร์ทมืออาชีพรวมทั้งรถโกคาร์ทเอง ก็ถูกออกแบบมาให้มีความสมจริงกับรถแข่งจริงมากที่สุด ทั้งระบบเบรก พวงมาลัย ช่วงล่าง เพื่อให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและสนุกไปกับความเร็วมากที่สุด ตัวสนามแบ่งออกเป็น 2 สนาม ได้แก่ สนาม Monza ความยาว 350 เมตร เป็นสนามสำหรับเด็กหรือผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์มาก โดยตัวสนามจะมีความกว้างและง่ายต่อการขับขี่ ความเร็วของรถจะถูกจำกัดไว้ด้วย ใครขับรถไม่เป็นสามารถลองได้นะ รับรองจะติดใจ และสนาม Monaco ความยาว 800 เมตร เหมาะที่สุดสำหรับการทดสอบทักษะการขับรถเพราะมีทั้งทางตรง ทางโค้ง ใช้ความเร็วสูง ก่อนการขับรถ จะได้รับหมวกคลุมผมเพื่อความสะอาดก่อนลงไปเลือกหมวกนิรภัย โดยหมวกนิรภัยของสนามจะมีให้เลือก 4 ขนาดด้วยกันโดยมี S, M, L, XL ผู้ใช้บริการควรเลือกขนาดให้เหมาะสมไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปเพื่อป้องกันการบดบังวิสัยทัศน์เวลาขับขี่ และเครื่องแต่งกายห้ามใส่ชุดที่มีความยาวหรือผ้าพันคอเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ เสื้อผ้าจะเข้าไปพันกับตัวรถ ผู้ที่มีผมยาวต้องมัดและเก็บให้เรียบร้อย ที่นี่มีมาตรการรักษาปลอดภัยอย่างสูง มีการวัดส่วนสูงและอายุเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้เลือกรถโกคาร์ทที่เหมาะสมและเป็นไปตามเกณฑ์ของทางสนาม ในกรณีที่ผู้ใช้บริการได้เลือกรถ Fart Kart หรือรถเร็วจะต้องมีการอบรมการใช้สนามสั้น ๆ และต้องจดจำสัญญาณธงในสนามเพื่อความปลอดภัย พนักงานทุกคนผ่านการอบรมเพื่อดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว หลังจากได้ลงไปนั่งประจำที่และสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นจากเสียงเครื่องยนต์ก็ทำให้ความเป็นนักแข่งและความอยากเอาชนะพลุกพล่านขึ้นมา จังหวะที่เร่งความเร็วแล้วกระแสลมตีเข้ามาหรือเวลาควบคุมรถในการเข้าโค้งให้ความรู้สึกเร้าใจ แต่ความรู้สึกที่ดีที่สุดคือจังหวะที่สามารถแซงขึ้นนำนักแข่งคนอื่นหรือสามารถทำลายสถิติเวลาของตัวเองลงได้ ทางสนามแข่งได้มีการเก็บสถิติไว้ให้นักแข่งทุกคนหลังแข่งเสร็จ เช่น เวลาต่อรอบ เวลารวมเฉลี่ย เวลาของบัดดี้ทำไว้ได้กลาง ๆ ขับขี่สนุกและรู้สึกปลอดภัยมาก เลยอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปขับดูบ้าง สนามอีซี่คาร์ท พัทยา (แหลมบาลีฮาย) เปิด ทุกวัน เวลา 10.00-01.00 499-1,299 บาท 0 3300 5009 เว็บไซต์ www.EasyKart.netมีสาขาที่กรุงเทพฯ (RCA PLAZA) และสมุย (Chaweng Lake) ด้วยนะ

 อีซี่คาร์ท พัทยา (แหลมบาลีฮาย) อ่านเพิ่มเติม

จุดชมวิวเหยียบเมฆา กัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่

วันนี้บัดดี้มีโอกาสได้ไปเยือนอำเภอกัลยานิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ อีกครั้ง… เพราะตั้งใจไปเช็กอินที่ “จุดชมวิวเหยียบเมฆา” หนึ่งในเส้นทางตามรอยหนังเรื่อง สุขสันต์วันโสด ใครทันดูเรื่องนี้บ้างนะ แค่ชื่อก็น่าสนใจไม่น้อย… “จุดชมวิวเหยียบเมฆา” เป็นจุดชมวิว 360 องศา ณ บ้านแม่แดด หมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางขุนเขา เป็นจุดชมวิวระหว่างทางที่เหล่านักท่องเที่ยวต่างต้องแวะ สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อน เส้นทางคดเคี้ยวตลอดทาง รวมถึงดอกไม้สวย ๆ ตามไหล่เขาให้ชมกันด้วย ทำให้จุดชมวิวแห่งนี้เป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมเลยก็ว่าได้ หากใครออกเดินทางผ่านเส้นเชียงใหม่-แม่ริม-สะเมิงไปจนถึงกัลยานิวัฒนา อย่าลืมแวะที่นี่กันนะคะ หากใครต้องการค้างพักแรม บริเวณใกล้ ๆ จุดชมวิวก็มีโฮมสเตย์อยู่หลายแห่ง หรือจะมากางเต็นท์ก็ได้เช่นกันค่ะ ตำบลแม่แดด อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ https://goo.gl/maps/KzG9B2f3SruyTquB9

จุดชมวิวเหยียบเมฆา กัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่ อ่านเพิ่มเติม

ไหว้พระ 3 วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ เสริมสิริมงคล

“กรุงเทพมหานคร” เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในปี 2566 มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานและเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมทางศาสนารวมทั้งประวัติศาสตร์ บัดดี้ขอแนะนำนักท่องเที่ยวสายบุญ สายประวัติศาสตร์ สายคอนเทนต์ และทุก ๆ สาย มาเยือน มาทำบุญที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้แก่ เพื่อเสริมสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เดินทางสะดวกมาได้ทั้งรถ เรือ รถไฟฟ้า ใครกำลังวางแผนเที่ยวตามบัดดี้มาได้เลย ใครเคยไปแล้ว ไปได้อีกนะ กรุณาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย สำรวมกาย วาจา ในขณะที่เข้าชมศาสนสถาน 1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (พระแก้ว) เป็นวัดที่มีความสำคัญทางทางศาสนาและวัฒนธรรม จุดเด่นของวัดคือองค์พระเจดีย์ 3 องค์ที่โดดเด่นเห็นได้แต่ไกล สีทองคือพระศรีรัตนเจดีย์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ถัดมาคือพระมณฑป รูปแบบสถาปัตยกรรมทรงไทย ประดิษฐานพระไตรปิฏกฉบับทองใหญ่ และปราสาทพระเทพบิดร รูปแบบหลังคายกยอดปราสาทแบบปรางค์ ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 เปิดถวายบังคมพระบรมรูปเป็นประจำทุกปี ในวันสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ 6 เมษายน (วันจักรี) 13-15 เมษายน (วันสงกรานต์) 4 พฤษภาคม (วันฉัตรมงคล) 28 กรกฎาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) 13 ตุลาคม (วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร) 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช) 5 ธันวาคม (วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร) ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) เปรียบดังตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้าในชีวิตและการงาน ความสุขกายสบายใจ นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สามารถเดินชมด้านนอกได้ก่อนถึงบริเวณทางออก เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-15.30 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 500 บาท มีบริการให้เช่าเครื่องแปลภาษา 7 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน รัสเซีย ญี่ปุ่น จีนกลางและไทย ราคา 200 บาท เว็บไซต์ www.royalgrandpalace.th https://maps.app.goo.gl/KiWCZrvKZBrBLx56A การเดินทาง MRT : สถานีสนามไชย รถเมล์ : 3, 32, 47, 59, 65, 70, 503 เรือ : นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาธงเขียวเหลือง ธงเหลือง ธงส้ม เรือ Hop On Hop Off ลงท่าน้ำ N9 ท่าช้าง 2. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์  วัดประจำรัชกาลที่ 1 ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ถัดจากพระบรมหาราชวัง พระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธไสยาสองค์ใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั้งองค์ ยาว 46 เมตร สูง 15 เมตร ที่ฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย ผู้คนนิยมมาขอพรในเรื่องความรัก ด้านข้างพระวิหาร มีพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ประกอบด้วย พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ (องค์กระเบื้องเคลือบสีเขียว) สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ภายในบรรจุพระบรมธาตุ พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน (องค์กระเบื้องเคลือบสีขาว) สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระบรมราชชนก คือรัชกาลที่ 2 พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร (องค์กระเบื้องเคลือบสีเหลือง) สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระราชถวายอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา และ พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย (องค์กระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินเข้ม) รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย ทรงพระราชถวายอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-17.30 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 300 บาท เว็บไซต์ www.watpho.com https://maps.app.goo.gl/mr9DAmZanZYV9Ak79 การเดินทาง MRT : สถานีสนามไชย รถเมล์ : 1, 3, 6, 9, 12, 25, 32, 44, 47, 48, 53, 82 เรือ : นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาธงเขียวเหลือง ธงเหลือง ธงส้ม เรือ Hop On Hop Off ลงท่าน้ำ N9 ท่าช้างหรือขึ้นเรือข้ามฟากจากท่าน้ำวัดอรุณ มาที่ท่าเตียน 3. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)  แลนด์มาร์กที่สำคัญในงานสำคัญหลาย ๆ งาน โดยเฉพาะงานเคานต์ดาวน์วัดอรุณที่ถูกเผยแพร่ภาพความสวยงามออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก ทำให้ที่นี่เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนให้ได้ วัดแจ้งตั้งอยู่ทางฝั่งตรงข้ามกับวัดโพธิ์ บนถนนอรุณอัมรินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่าวัดแจ้ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 จึงถือเป็นวัดประจำรัชกาล เมื่อบูรณะแล้วเสร็จได้พระราชทานนามว่าวัดอรุณราชธาราม ในสมัยรัชกาลที่

ไหว้พระ 3 วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ เสริมสิริมงคล อ่านเพิ่มเติม

 ๑๐ วัด ๑ พิพิธภัณฑ์ ไหว้พระ เสริมสิริมงคล ตลอดปี ๒๕๖๗

เหล่านักแสวงบุญเตรียมแผนในการเดินทางเยี่ยมชม สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดวาอาราม และสถานที่สำคัญ ๆ กันแล้วหรือยัง? ปีนี้ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้แนะนำเส้นทางไหว้พระในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 10 วัด และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จะมีที่ไหนบ้าง ไปชมกันเลย 1. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยภายนอกมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในตกแต่งอย่างตะวันตก เป็นวัดที่มีเสมาขนาดใหญ่ เรียกว่า “มหาสีมา” ตั้งอยู่ที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ เช่นเดียวกับวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จึงได้นามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ถนนราชบพิธ แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครhttps://maps.app.goo.gl/S8AecJBNejWmU2gw6 2. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยา ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใหม่ และให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่าง ๆ มาประดิษฐานไว้ ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด มีการนำศิลปะจีนมาผสมผสานในการสร้างพระอารามครั้งนี้ด้วย ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครhttps://maps.app.goo.gl/Y65deqJ8vHxUBJ228 3. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2350 เพื่อให้เป็นวัดใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์ ใช้เวลาในการก่อสร้างรวม 40 ปี จนแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และยังเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 อีกด้วย ภายในวิหารหลวง “พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต)” ที่ถูกอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย มีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม ทั้งต้นแบบสัตว์หิมพานต์หลายแบบ รวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนัง “เปรตวัดสุทัศน์” ที่โด่งดังอีกด้วย พระอุโบสถของวัดแห่งนี้ ถูกจัดว่าเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ภายในเป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติ มีพระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานของพระกริ่งใหญ่และท้าวเวสสุวรรณ มีนักท่องเที่ยวให้ความศรัทธา เดินทางมาขอพรอย่างไม่ขาดสาย ถนนบำรุงเมือง แขวงวัดราชบพิตร เขตพระนคร กรุงเทพมหานครhttps://goo.gl/maps/hJTz7fU7oJm 4. วัดราชนัดดารามวรวิหาร (โลหะปราสาท) หรือที่เรียกกันติดปากว่า โลหะปราสาท ถือเป็นโลหะปราสาทแห่งแรกและแห่งเดียวของไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ โดยกรมศิลปากรฯ ได้ประกาศขึ้นทะเบียน โลหะปราสาท เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 โลหะปราสาทของไทยนับเป็นโลหะปราสาทแห่งที่สามของโลก โดยแห่งแรกอยู่ที่อินเดีย แห่งที่สองอยู่ที่ศรีลังกา ซึ่งปัจจุบันไม่เหลืออยู่แล้ว ที่นี่จึงเป็นโลหะปราสาทแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลก 70 ถนนมหาไชย แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครhttps://maps.app.goo.gl/kvsVFtr7ANZTrNS66 5. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร มีชื่อเดิมว่า ‘วัดสามจีนใต้’ เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสถานีรถไฟหัวลำโพง สามารถเดินได้ ประมาณ 5-10 นาที เข้ามาด้านในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นมณฑป 4 ชั้น นมัสการ ‘พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร’ หรือที่เรียกกันว่า ‘พระสุโขทัยไตรมิตร’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย ทำจากทองคำแท้ และมีขนาดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครhttps://goo.gl/maps/VMkZCQTBzT52 6. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เดิมมีชื่อว่า วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง ภายหลังได้รับพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร ซึ่งหมายถึง วัดของเจ้านาย 5 พระองค์ที่ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ภายหลัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง สวนดุสิตและสถาปนาวัดด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ วางแปลนแยกสัดส่วนเป็นเขตพุทธาวาส สังฆาวาสและที่ธรณีสงฆ์ พร้อมพระราชทานนามว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ซึ่งหมายถึง “วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5” วัดนี้ถือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบศิลปะไทยที่สมบูรณ์ ภายในมีสถานที่สำคัญและน่าสนใจ เช่น ศาลาสี่สมเด็จ พระที่นั่งทรงธรรม หอระฆังบวรวงศ์ พระอุโบสถ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ถนนนครปฐม แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร https://goo.gl/maps/3hdPCro947D2 7. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร หลายคนนิยมเรียกกันว่า “วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์” เดิมมีชื่อว่า “วัดสลัก” สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2326 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดสลักพร้อมกับการก่อสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล และสถาปนาวัดนี้ขึ้นเป็น “พระอารามหลวงแห่งแรก” ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ จากนั้นทรงเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดสลักเป็น “วัดนิพพานาราม” ในปี พ.ศ. 2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ใช้วัดนิพพานารามเป็นสถานที่ทำสังคายนา และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดพระศรีสรรเพชญ์” ต่อมาในปี พ.ศ. 2346 พระราชทานนามวัดนี้ใหม่อีกครั้งว่า “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรมหาวิหาร” ตามชื่อวัดในกรุงศรีอยุธยาที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ.2346 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้เรียกวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชวรมหาวิหารว่า “วัดมหาธาตุ” เนื่องจากวัดที่มีชื่อว่า มหาธาตุ จะมีอยู่ในทุกเมืองของประเทศ เมืองหลวงก็ควรมีด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เพื่อปฎิสังขรณ์วัดมหาธาตุ จึงโปรดให้เพิ่มสร้อยนามพระอาราม เฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชว่า “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์” 3 ถนนท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครhttps://maps.app.goo.gl/nwdivDuLUaj9joAy5 8.

 ๑๐ วัด ๑ พิพิธภัณฑ์ ไหว้พระ เสริมสิริมงคล ตลอดปี ๒๕๖๗ อ่านเพิ่มเติม

ก๋วยเตี๋ยวบก คลองสระบัว อยุธยา

กระแสเดินทางท่องเที่ยวตามรอยละครพรหมลิขิตยังคงมาแรง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของ “จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” เพราะในละครได้มีการกล่าวถึงและใช้เป็นสถานที่อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ อีกหนึ่งสิ่งที่มาแรงไม่แพ้กันก็คือการตามรอยเมนูอาหารสุดเย้ายวนในทุกค่ำคืนที่ละครออนแอร์ ซึ่งมีทั้งอาหารคาวและหวาน แต่ละเมนูน่ากินมาก บางเมนูก็เป็นเมนูที่น้อยคนจะรู้จัก ยกตัวอย่างเช่น “ก๋วยเตี๋ยวบก” ก๋วยเตี๋ยวบก เป็นเมนูที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนทำกินกันสักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงไปเป็นก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือเมี่ยงก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้กินง่ายขึ้น สำหรับเมนูก๋วยเตี๋ยวบกนั้นประกอบไปด้วย เส้นใหญ่ลวก เนื้อสัตว์ลวก เช่น กุ้ง ไก่ หมู เป็นต้น ตามด้วยกระเทียมเจียว พริกสด จากนั้นนำมาห่อด้วยผักสด เช่น ผักกาดหอม กะหล่ำปลี โหระพา สะระแหน่ เป็นต้น สุดท้ายราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดและน้ำจิ้มถั่วลิสง รสชาติจะคล้ายกับยำ แต่จะกลมกล่อมกว่า สำหรับใครที่เดินทางไปเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วสนใจอยากชิมเมนูก๋วยเตี๋ยวบก บัดดี้ขอแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวบก อยุธยา คลองสระบัว บอกเลยว่าก๋วยเตี๋ยวบกร้านนี้ครบเครื่องแบบในละครเลยและที่สำคัญคืออร่อยมาก นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูอื่น ๆ ที่บัดดี้อยากให้ทุกคนไปลิ้มลองด้วย นั่นก็คือ ก๋วยเตี๋ยวบกสูตรของทางร้าน โดยมีวัตถุดิบคล้าย ๆ กับก๋วยเตี๋ยวบกสูตรโบราณ มีวิธีการทำและรสชาติแตกต่างกัน เป็นสูตรที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมี ผัดไทยกุ้งสด บะหมี่จั่นเจาขี้เมา เมี่ยงกุ้ง หอยทอด รับรองเลยว่าจะไม่ผิดหวัง เห็นร้านเล็ก ๆ แบบนี้ ขอแอบบอกว่าออเดอร์แน่นทุกวัน แนะนำให้โทรสอบถามล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่พลาดลิ้มลองความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวบกกัน ร้านก๋วยเตี๋ยวบก คลองสระบัว ตำบลคลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 10.00-17.00 น. (เนื่องจากร้านไม่ได้มีวันหยุดที่แน่นอน แนะนำให้โทรสอบถามล่วงหน้า) 08 1407 3631 https://maps.app.goo.gl/4U4s1fUmcNZjNuJj9

ก๋วยเตี๋ยวบก คลองสระบัว อยุธยา อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top